สายพันธุ์กล้วยไม้

กล้วยไม้สกุลหวาย Dendrobium

         กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ที่สุด มีการแพร่กระจายพันธุ์ออกไปในบริเวณกว้างทั้งในทวีปเอเชียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นักพฤกษศาสตร์ได้จำแนกออกเป็นหมู่ประมาณ 20 หมู่ และรวบรวมกล้วยไม้ชนิดนี้ที่ค้นพบแล้วได้ประมาณ 1,000 ชนิดพันธุ์
          กล้วยไม้สกุลหวาย มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบซิมโพเดียล คือ มีลำลูกกล้วย เมื่อลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะแตกหน่อเป็นลำต้นใหม่และเป็นกอ ใบแข็งหนาสีเขียว ดอกมีลักษณะทั่วไปของกลีบชั้นนอกคู่บนและคู่ล่างขนาดยาวพอๆ กันโดยกลีบชั้นนอกบนจะอยู่อย่างอิสระเดี่ยวๆ ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะมีส่วนโคน ซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปทางด้านหลังของส่วนล่างของดอกประสานเชื่อมติดกับฐานหรือสันหลังของเส้าเกสร และส่วนโคนของกลีบชั้นนอกคู่ล่างและส่วนฐานของเส้าเกสรซึ่งประกอบกันจะปูดออกมา มีลักษณะคล้ายเดือยที่เรียกว่า “เดือยดอก” สำหรับกลีบชั้นในทั้งสองกลีบมีลักษณะต่างๆ กันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้นั้นๆ
          กล้วยไม้หวายป่าของไทยมีสีสวยงาม ก้านช่อสั้น สำหรับกล้วยไม้สกุลหวายที่เป็นกล้วยไม้อยู่ในป่าของไทย มีหลายชนิดอันได้แก่พวก “เอื้อง” ต่างๆ เช่น
        
ชื่อไทย : เอื้องผึ้ง โพดอนแหล่ (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobiun lindleyi SteuD.
ลักษณะทั่วไป :  ลำต้น เป็นลำรูปลีมักจะแบบเล็กน้อย ขนาด 5-12*1.5-2.5 ซม.มีสันและร่องตามความยาวผิวแห้งสีเขียวอมน้ำตาลเข็ม ขึ้นเป็นกระจุกแน่นแต่ละต้นมี 1ใบที่ยอด ใบรูปรีขนาด 6-12*2-2.5 ซม.ก้านดอกผอม ยาว3-4 ซม.ดอกขนาด 2-2.5 ซม. ดอกบานใหม่สีเหลืองอมเขียว วันต่อๆมาสีเข็มขึ้นจนเป็นสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกรูปทรงเกือบกลม ปลายกลีบมน กลีบปากเกือบมลใหญ่กว่ากลีบดอกอื่นๆและกลางกลีบปากสีเหลืองเข็ม ดอกบานทน 1 สัปดาห์มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบเทศไทย : พบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ : ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน อินเดีย ภูฏาน
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484


         

ชื่อไทย : เอื้องม่อนไข่, เอื้องม่อนไข่ใบมน (ภาคเหนือ) กับแกะ (เลย) พอพางดี (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian thyrsiflorum Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป :  ลำต้นลำกลมหรือเกือบกลมเป็นสันและร่องตื้นๆตามยาวสีเขียวเข็มหรือเขียวอมน้ำตาลยาว 25-50 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-1.8 ซม. ผิวมันเล็กน้อยเป็นกอ ใบรูปรี กว้างขนาด 8-12*4-5 ซม. ปลายแหลมมน แผ่นใบค่อนข้างหน้าและเหนียวคล้ายหนัง สีเขียวเข้ม ผิวมันทิ้งใบ้เมื่อผลิดอก ช่อดอกเกิดใกล้ยอดเป็นพวงห้อยลงขนาด 18-30*7-12 ซม. ดอกในค่อนข้างแน่น ก้านดอกยาว 4-5 ซม.ขนาดดอก 2.5-3 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาว กลีบปากกลมสีเหลืองและขอบกลีบ มีขนนุ่มหยักละเอียด ดอกมีกลิ่นหอม ดอกบานเกือบพร้อมกันทั้งช่อและทนได้ประมาณ 1สัปดาห์
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : พบมากตามป่าดิบที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เขตการกระจายพันธุ์ : ไทย พม่า ลาว เวียดนาม จีน และอินเดีย
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
         
ชื่อไทย : เหลืองจันทบูร
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian friedericksianum
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดแถบจังหวัดจันทบุรี เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยลักษณะเป็นโคนเล็กแล้วค่อยโป่งไปทางตอนปลายขนาดลำยาวมาก บางต้นยาวถึง 75 เซนติเมตร เมื่อลำแก่จะเป็นสีเหลืองโดยด้านข้างของลำจะมีใบอยู่ทั้งสองข้าง ช่อดอกออกตามข้อของลำ ออกดอกเป็นช่อๆ ละ 2–4 ดอก กลีบดอกเป็นมัน รอบแรกดอกจะเป็นสีเหลืองอ่อนแล้วจะค่อยๆ เข้มขึ้นจนเป็นสีจำปา ปากสีเข้มกว่ากลีบ ในคอมีสีแต้มเป็นสีเลือดหมู 2 แต้ม ขนาดดอกโตประมาณ 5 เซนติเมตร
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - เมษายน
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : เป็นกล้วยไม้เฉพาะถิ่นพบเฉพาระในประเทศไทย
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
       




ชื่อไทย : เอื้องช้างน้าว, เอื้องคำตาควาย, เอื้องตาความ,สบเป็ด,มอกคำตาความ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian pulchellum. Roxb.ex.Lindl
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยลักษณะกลม ต้นอ่อนเป็นเส้นสีม่วงลักษณะใบรูปไข่ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร เมื่อลำแก่แล้วจะทิ้งใบ แตกช่อห้อยที่ปลายลำ ช่อหนึ่งมี 5–10 ดอก กลีบดอกเป็นสีเหลืองอ่อนมีเส้นเหลืองชมพู ปากรูปไข่กลมแบะแอ่นลงมีแต้มสีเลือดหมู 2 แต้ม กลีบนอกเป็นรูปใบ ภายในกลีบเป็นรูปไข่ ขนาดดอกโตประมาณ 5–7 เซนติเมตร พบทางภาคเหนือ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ (ยกเว้นภาคกลาง) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ : ลาว เนปาล อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484





ชื่อไทย : เอื้องมัจฉาณุ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian Farmeri Paxton
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่ลำลูกกล้วยลักษณะเป็นพู ตอนบนใหญ่ตอนล่างเล็กรูปสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร ลำลูกกล้วยแต่ละลำมีใบ 3–4 ใบ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อห้อยยาวประมาณ 15–25 เซนติเมตร ช่อหนึ่งมีหลายดอก ก้านช่อดอกยาว ดอกหลวม ทั้งกลีบดอกนอกและในมีสีม่วง ชมพู หรือขาว ปากสีเหลืองมีขนเป็นกำมะหยี่ ขนาดดอกโตประมาณ 2-
4 เซนติเมตรช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
      

ชื่อไทย : เอื้องเงินหลวง, เอื้องขี้ผึ่ง (ภาคใต้), เอื้องตาเหิน (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian formosum
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยตั้งตรง กลมค่อนข้างอ้วน ความยาวประมาณ 30–50 เซนติเมตร ที่กาบใบมีขนสีดำลักษณะใบรูปไข่ยาวรี ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร ปลายใบมี 2 แฉกไม่เท่ากัน ออกดอกที่ยอด ช่อดอกสั้น ช่อหนึ่งๆ มี 3–5 ดอก กลีบดอกมีสีขาว ปากสีเหลืองส้มโคนปากสอบปลาย ปากเว้า มีสันนูนสองสันจากโคนออกมาถึงกลางปาก ขนาดดอกโตประมาณ 10 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมอ่อน
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนตุลาคม - ธันวาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันตก และภาคใต้
สถานภาพ :

     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 
        
ชื่อไทย : เอื้องเงิน, เอื้องตึง, เอื้องงุม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian Draconis.Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป :  ลำต้นลำลูกกล้วยตรง ค่อนข้างแข็.ขนาด 22-30*1-1.5 ซม. เป็นสันและร่องตามยาว ผิวต้นอ่อนมีขนสั้นละเอียดสีดำ ต้นขั้ยเป็นกอแนใบรูปไข่แกมรูปรีเรียนเวียนสลับตลอดต้น ขนาด 5-8*2-3 ซม.ปลายหยักมนไม่เท่ากันแผ่นใบหนาและเหนียว ช่วงออกดอกมีทั้งที่ไม่ทิ้งใบละทิ้งใบ ดอกเกิดจากข้อใกล้ยอด เป็นดอกเดี่ยวหรือชื่อสั้นๆมี 1-3 ดอกขนาด 3.5-4.5 ซม.กลีบดอกสีขาวเป็นมันคล้ายขี้ผึ้งปลายกลีบแหลมขอบกลีบบิดเป็นคลื่อน กลีบคงรูป มีหูปากรูมนโคนกลีบปากสีแดงงอมแสดกลางกลีบมีสีสัน 3-5 สันกลิ่ยหอมอ่อนๆดอกบานทนนาน 1เดือนหรือว่านั้น
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม -เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย :ในเขตป่าผลิใบภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก (ยกเว้นภาคตะวันตก)
เขตการกระจายพันธุ์ : อินเดีย  พม่า และอินโดจีน
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484     
  

ชื่อไทย : เอื้องเงินแดง, เอื้องกาจก, เอื้องตึง, เอื้องแชะเหลือง, เอื้องแชะดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian cariniferum.Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป :  ลักษณะลำต้นเจริญทางด้านข้าง ลำลูกกล้วยทรงกระบอก ผิงมักเป็นร่อง ใบรูปขอบขนาน ปลายเบี้ยว ออกดอกเป็นช่อ 2-5 ดอก ดอกกว้าง 3-4 ซม. กลีบดอกสีขาวครีม ปลายสีเหลือง โคนของกลีบปากสีส้มเข้มถึงส้มแดง กระดกห่อขึ้น ปลายแผ่เป็นแผ่นค่อนข้างยาว ขอบหยักเป็นคลื่น สีเหลืองอมส้มถึงขาว กลางกลีบเป็นสันนูน มีเส้นสีส้มเป็นริ้วตามความยาวกลีบเป็นระยะ ดอกมีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ
เขตการกระจายพันธุ์ : พม่า จีน อินเดีย ลาว เวียดนาม
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
      

ชื่อไทย : เอื้องมะลิ, แส้พระอินทร์
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian crumenatum
ลักษณะทั่วไป :  ออกดอกเป็นช่อ 1-2 ดอก ตามข้อต้นในส่วนที่ไม่มีใบของปลายลูกกล้วย กลีบดอกสีขาว กางผายออก โคนกลีบปากเชื่อมติดกัน หูกลีบปากกระดกขึ้นทั้งสองข้าง ปลายผายออก มีสีเหลืองที่กลางกลีบปาก ดอกขนาด 2-3 เซนติเมตร ดอกบานเพียงวันเดียว มีกลิ่นหอมฉุน
ช่วงออกดอก : ช่วงออกดอกไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะออกดอกช่วงที่มีอากาศร้อนแล้วมีฝนตก หรือในช่วงฤดูฝน
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบตามป่าดิบทางภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันตก
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484


          

ชื่อไทย :
เอื้องเก๊ากิ่วแม่สะเรียง, เอื้องไม้ตึง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian tortile Lindl.
ลักษณะทั่วไป :  ลำต้นเจริญทางด้านข้าง โคนลำลูกกล้วยคอด ใบรูปขอบขนาน ออกดอกเป็นช่อตามข้อ 3-6 ดอกต่อข้อ ดอกกว้าง 5-7 เซนติเมตร กลีบดอกสีม่วง มักบิดเป็นคลื่น มีเส้นสีม่วงตามความยาวกลีบ โคนกลีบปากม้วนขึ้นเป็นกลีบยาว โคนสีม่วง ปลายผายออก สีเหลืองอ่อน
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ :พม่า อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย
สถานภาพ :

     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484


 
ชื่อไทย :
เอื้องแปรงสีฟัน, เอื้องหงอนไก่

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobiam secundum
ลักษณะทั่วไป :  ใบรูปขอบขนานแกมรูปแถบ ออกดอกที่ปลายกิ่งเป็นช่อยาว ดอกจำนวนมาก กลีบงุ้มเข้าหากัน สีม่วงอมชมพู กลีบปากเป็นทรงกระบอก ปลายกลีบปากสีเหลือง ดอกกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ช่วงออกดอกมักผลัดใบ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าทุกประเภททางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้
การกระจายพันธุ์ : จีน พม่า อินโดจีน ภูมิภาคเอเชีย
สถานภาพ :

     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484



ชื่อไทย : เอื้องสายหลวง, เอื้องสาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobain anosmum Linal
ลักษณะทั่วไป :  ลำลูกกล้วยห้อยลงเป็นสายยาว ใบรูปรีขอบขนาน ปลายใบแหลม ดอกเดี่ยวออกตามข้อ ดอกกว้าง 4-5 เซนติเมตร สีม่วงอ่อน กลีบปากรูปทรงกลมปลายแหลม โคนกลีบปากม้วนเข้าหากันและมีแต้มสีม่วงเข้มทั้งสองด้าน ผิวกลีบด้านในมีขนปกคลุม ผิวด้านนอกมีขนเฉพาะขอบกลีบ ดอกมีกลิ่นหอม ช่วงออกดอกมักผลัดใบ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนเมษายน- พฤษภาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบทางภาคใต้ของไทย ศรีรังกา อินโดจีน และภูมิภาคเอเชีย
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484          



ชื่อไทย :
เอื้องครั่ง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian  parishii
ลักษณะทั่วไป :  ลำลูกกล้วยรูปรี ค่อนข้างอวบ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ออกดอกที่ข้อ 1-3 ดอก ดอกกว้าง 3-5 เซนติเมตร กลีบดอกสีม่วง โคนกลีบดอกกระดกห่อขึ้น ปลายกลีบแหลมมีขนสั้นๆ ปกคลุม กลางกลีบสีม่วง ดอกมีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมพาพันธ์ – มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันตกและอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานภาพ :

     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484


       
         

ชื่อไทย : อื้องคำ,พอนี้โคง(แม่ฮ่องสอน),เอื้องคำตา(เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian chrysotoxum Lindl.
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยรูปทรงหลายเหลี่ยมโดยจะมีตอนกลางลำโป่ง แล้วเรียวลงมาโคนและยอด ความยาวประมาณ 20–50 เซนติเมตร เมื่อลำแก่จะมีสีค่อนข้างเหลืองตอนบนของลำจะมีใบอยู่ 4–5 ใบ ยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ 12-25 ดอก แต่ละช่อดอกจะห่างไม่อัดแน่น ดอกมีสีส้มสด กลีบปากสีส้มมีขนาดใหญ่ โคนกระดกห่อขึ้น ปลายบานเป็นทรงกลม มีขนนุ่มปกคลุม ขอบกลีบหยักเป็นคลื่น ขนาดดอกประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันตก พม่า ลาว เวียดนาม และอินเดีย
สถานภาพ :

     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484


               
 

ชื่อไทย : แววมยุรา, เอื้องคำตาดำ, เอื้องคำน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian fimbriatum hook.
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยยาวกว่า 60 เซนติเมตร มีผิวเป็นร่องตื้นๆ ใบรูปหอกยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ช่อดอกห้อยยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ช่อหนึ่งมี 7–15 ดอก กลีบนอกยาวรี กลีบในเป็นรูปไข่สีเหลือง กลีบปากเกือบกลมมีสีเข้มกว่ากลีบดอก ผิวมีขนนุ่มละเอียดปกคลุม ขอบกลีบหยัก กลางกลีบมีแต้มสีม่วงเข้มเกือบดำ ดอกกว้าง 3-
4 เซนติเมตรช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้งและป่าผลิใบทางภาคเหนือและภาคตะวันตก
เขตการกระจายพันธุ์ : อินเดียและประเทศใกล้เคียงในแทบเทือกเขาหิมาลัย จีน พม่า อินโดจีน มาเลเซีย
สถานภาพ :
     *พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
     *ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

กล้วยไม้สกุลกุหลาบ Aerides

กล้วยไม้สกุลกุหลาบ Aerides


              กล้วยไม้สกุลกุหลาบ (Aerides) เป็นกล้วยไม้ที่พบตามธรรมชาติในป่าทั่วทุกภาคของประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ อาจขึ้นเป็นต้นเดียวโดดๆ หรือขึ้นเป็นกลุ่มใหญ่ มีการเจริญเติบโตแบบฐานเดี่ยว บางต้นมียอดเดียว บางต้นแตกเป็นกอ มีหลายยอด เมื่อต้นสูงหรือยาวขึ้นจะห้อยย้อยลงมา แต่ปลายยอดยังคงชี้ขึ้นข้างบน ช่อดอกส่วนใหญ่โค้งปลายช่อห้อยลงมา รากเป็นระบบรากอากาศ ดอกมีขนาดปานกลาง มักมีกลิ่นหอม มีเดือยดอกเรียวแหลมหรือปลายงอนออกมาทางด้านหน้าของดอก ซึ่งเป็นลักษณะที่แตกต่างกับกล้วยไม้ชนิดอื่นๆ กลีบดอกผึ่งผายสวยงามสะดุดตา เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่าย มีบทบาทสำคัญในการผสมพันธุ์เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ สามารถผสมในสกุลเดียวกัน และผสมข้ามสกุลต่างๆ เช่น ผสมกับสกุลแวนด้าเป็นสกุลแอริโดแวนด้า (Aeridovanda) ผสมกับสกุลช้างเป็นสกุลแอริโดสไตลิส (Aeridostylis) สำหรับกล้วยไม้สกุลกุหลาบที่พบตามธรรมชาติในประเทศไทยมีดังนี้ 
                     

 
ชื่อ 
กุหลาบอินทจักร  เอื้องสามปอยลิง(เชียงใหม่)  เอื้องนางเมขลา(นครสวรรค์) เอื้องนกพิหลาบ,เอื้องอัยราวัณ,เอื้องกุหลาบน่านชื่อวิทยาศาสตร์ Aerides flabellata Rolfe ex Downieลักษณะทั่วไป :  กุหลาบอินทจักรเป็นกุหลาบเดือยยาวชนิดเดียวที่ฝาครอบอับเรณูกว้างและมนซึ่งชนิดอื่นจะแหลมเป็นปากกาเป็นกล้วยไม้อิงอาศัย กุหลาบอินทจักรมีก้านช่อดอกค่อนข้างแข็ง ช่อดอกตั้ง ออกดอก 5-10 ดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีลักษณะคล้ายกัน สีเขียวอมเหลืองและมีแต้มสีน้ำตาลอมม่วง กลีบปากเป็น หยัก สีขาวมีจุดสีชมพูอมม่วง ขอบจักเป็นฟันเลื่อย กลีบดอกหนาและแผ่บาน ปากดอกสีขาวมีแต้มสีม่วง ริมปากมียักเล็กน้อยและโค้งขึ้นมาด้านหน้า มีกลิ่นหอม มีเดือยดอกยามลงมาข้างล่างเล็กน้อย ดอกขนาด 2-เซนติเมตร    จุดเด่นของกุหลาบชนิดนี้อยู่ที่เดือยยาวและงอน จนปลายเดือยชี้กลับเข้าไปหาตัวดอก อาจเรียกว่า กล้วยไม้เดือยงาม ก็ได้ช่วงออกดอกประมาณ : ประมาณเดือนเมษายน - พฤษภาคม
แหล่งที่พบเทศไทย: ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และการกระจายพันธุ์ : พม่า ลาว และมณฑลยูนานของจีนสถานภาพ :
-                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

  
  
                     

ชื่อ 
เอื้องกุหลาบน่าน, เอื้องกุหลาบเอราวัณ, เอื้องกุหลาบไอยราวัณ, เอื้องกุหลาบไอราวัณ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aerides rosea Lodd. ex Lindl. & Paxtonลักษณะทั่วไป :  กุหลาบน่านเป็นพวกที่มีเดือยดอกสั้นมาก เห็นเป็นตุ่มขนาดใหญ่ สูง 30-60 ซม. มีปลายปากเป็นรูปสามเหลี่ยมชัดเจน ปลายใบหยักกลางแต่หยักไม่เท่ากัน กว้าง 3-5 ซม. ยาว 15-20 ซม. กุหลาบน่านช่อดอกมีก้านส่งแข็ง ชี้เฉียงลง แต่ส่วนช่อที่ติดดอกจะโค้งห้อยลง ถ้าต้นสมบูรณ์ ช่อดอกจะแตกแขนง ดอกเบียดกันแน่นช่อ ดอกใหญ่ประมาณ 2-เซนติเมตร กลีบดอกสีขาว มีแต้มสีม่วงแดง ที่ปลายกลีบมีจุม่วงแดงประปราย ปากสีม่วงแดง มีกลิ่นหอมอ่อนๆดอกบานทนทานหลายวัน ลักษณะช่อดอกคล้ายมาลัยแดงมาก แต่กุหลาบน่านช่อดอกจะค่อนข้างโปร่งกว่า ดอกสีชมพู แต่ไม่เป็นสีชมพูอมแดงอย่างมาลัยแดงช่วงออกดอก ประมาณเดือนเมษายน - พฤษภาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : พบตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการกระจายพันธุ์ : ไทย ภูฎาน อินเดีย พม่า ลาว เวียดนาม และมณฑลยูนานของจีนสถานภาพ :
-                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484  


ชื่อ 
กุหลาบกระบี่, เอื้องกุหลาบพวงชมพู, เอื้องกุหลาบกระบี่, กระบี่ธุช
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aerides krabiense Seidenf.
ลักษณะทั่วไป :  กุหลาบชมพูกระบี่มีขนาดเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วยไม้ชนิดอื่นๆ ในสกุลกุหลาบที่พบในประเทศไทย เป็นกุหลาบที่ต้นมักแตกเป็นกอ ใบแคบหนา โค้งงอและห่อเป็นรูปตัววี ปลายใบแหลม กว้างประมาณ 
1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-12เซนติเมตร ผิวใบมีจุดประสีม่วงแดงอยู่ทั่วไปและปรากฏมากขึ้นเมื่อถูกแดดจัดหรืออากาศแห้งแล้งเช่นเดียวกับใบเข็มแดง  ช่อดอกยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร ช่อเอนขนานไปกับใบ ปลายช่อโค้งลง บางต้นพบช่อดอกแตกแขนงด้วย มีเดือยดอกสั้นมาก ปลายปากกว้างมน ดอกมีพื้นขาว มีจุดประสีม่วงแดง หรือชมพูเข้มกลางแผ่นปากมีสีแดงเข้ม ดอกคล้ายกุหลาบมาลัยแดง หรือกุหลาบน่าน จุดสังเกตที่เด่นชัดคือลักษณะของปลายปากที่แตกต่างกัน คือ กุหลาบน่านปลายปากเป็นรูปสามเหลี่ยมชัดเจน กุหลาบมาลัยแดงปลายปากป้านและหยักกลาง ส่วนกุหลาบชมพูกระบี่ปลายปากกว้างและมน
ช่วงออกดอก ประมาณเดือนเมษายน   พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทยขึ้นตามผาหินปูนทางภาคใต้ ปัจจุบันค่อนค้างน้อยมากและการกระจายพันธุ์ : มาเลเซียสถานภาพ :
                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

กล้วยไม้สกุลเข็ม Ascocentrum

กล้วยไม้สกุลเข็ม Ascocentrum

            กล้วยไม้สกุลเข็มได้สมญาว่าเป็น “ราชินีของกล้วยไม้แวนด้าแบบมินิหรือแบบกระเป๋า” เพราะเป็นกล้วยไม้ที่มีลักษณะเล็กทั้งขนาดต้น ช่อดอก ขนาดดอก และมีดอกที่มีสีสดใสสะดุดตามากกว่ากล้วยไม้อื่นๆ ในธรรมชาติพบกล้วยไม้สกุลนี้กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลงไปถึงอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอ มีการเจริญเติบโตขึ้นไปทางส่วนยอด เช่นเดียวกับกล้วยไม้สกุลช้าง สกุลแวนด้า สกุลกุหลาบ มีลำต้นสั้น ใบเรียงแบบซ้อนทับกัน รากเป็นระบบรากอากาศ ออกดอกตามข้อของลำต้นระหว่างใบ ช่อดอกตั้งตรงเป็นรูปทรงกระบอก จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทแวนด้าที่มีดอกขนาดเล็ก ในประเทศไทยมีกล้วยไม้สกุลเข็มแท้อยู่ 4 ชนิดคือ เข็มแสด เข็มแดง เข็มม่วง และเข็มหนู แต่ที่มีบทบาทสำคัญในการผสมปรับปรุงพันธุ์ คือ เข็มแดง เข็มแสด และเข็มม่วง
    คลิกดูรูป           คลิกดูรูป
 
ชื่อไทย : เอื้องเข็มแดง, เอื้องม้าก่ำ.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum curvifolium (Lindl.) Schltr
ลักษณะทั่วไป :  ใบมีสีเขียวอ่อน ค่อนข้างอวบน้ำ ใบแคบ โค้ง เรียว ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ในฤดูแล้งขอบใบจะปรากฏจุดสีม่วงประปรายและจะหนาแน่ขึ้นเมื่อแล้งเพิ่มมากขึ้น ดอกสีแดงอมส้ม ดอกโตประมาณ 1.5 เซนติเมตร ช่อดอกรูปทรงกระบอก ตั้งตรง แข็ง ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ดอกแน่นช่อ บานทนนับเป็นสัปดาห์
ช่วงออกดอก : ประมาณกุมพาพันธ์- เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย  : ที่ระดับความสูง 100-300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตามป่าดิบแล้งหรือป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก
เขตการกระจายพันธุ์: พบอินเดียตอนเหนือ ศรีรังกา พม่า และลาว
สถานภาพ :
-          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
     คลิกดูรูป           คลิกดูรูป
 
ชื่อไทย :
 เอื้องเข็มแสด, ทุ่งสุวรรณ, เอื้องมันปู, เอื้องฮ่องคำ, เอื้องเหลืองพระฝาง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum miniatum (Lindl.) Schltr
ลักษณะทั่วไป :  เข็มแสดมีลำต้นไม่สูงนัก ใบเรียงซ้อนกันแน่น ใบอวบหนา ปลายใบเป็นฟันแหลม และโค้งเล็กน้อย ใบสีเขียวแก่ และอาจมีสีม่วงบ้างเล็กน้อย เมื่อมีสภาพอากาศแห้งแล้ง ใบยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกมีกลีบหนา ผิวกลีบเป็นมันสีส้มหรือสีเหลืองส้ม ขนาดดอกโตประมาณ 1–1.5 เซนติเมตร ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกแน่นช่อ ช่อหนึ่งอาจมีมากกว่า 50 ดอก
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : พบตามธรรมชาติในทุกภาคของประเทศไทย(ยกเว้นภาคตะวันตก) ทั้งในลักษณะภูมิประเทศที่ราบและที่เป็นภูเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ จึงสามารถปลูกเลี้ยงได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย
เขตการกระจายพันธุ์ : อินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
สถานภาพ :
-          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
             คลิกดูรูป                         คลิกดูรูป
 
ชื่อไทย : เอื้องเข็มม่วง, เอื้องเขาแกะใหญ่, เอื้องขี้ครั่ง, เอื้องครั่งฝอย, เขาแกะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum ampullaceum (Roxb.) Schltr.
ลักษณะทั่วไป :  เข็มม่วงมีลำต้นตั้งแข็ง ใบแบนกว้าง ปลายตัดและมีฟันแหลมๆ ไม่เท่ากันทลายฟัน ต้นสูง 4-10 ซนติเมตร ใบยาวประมาณ 5-12 x 1.5-2  เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ใบสีเขียวคล้ำ ในฤดูแล้งใบจะมีจุดสีม่วงเล็กน้อย ดอกสีม่วงแดง ก้านดอกสั้นเป็นสีเดียวกับดอก เดือยดอกยาวดอกโตประมาณ 2 เซนติเมตร ช่อดอกตั้งตรงรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 15 เซนติเมตรดอกแน่น ช่อหนึ่งมีประมาณ 30 ดอก มักออกดอกบริเวณส่วนล่างของลำต้นดอกบานทนประมาณ 2 สัปดาห์
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมพาพันธ์ - พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : พบตามป่าดิบแล้งทางภาคเหนือและภาคตะวันตก
เขตการกระจายพันธุ์ : อินเดียวตอนเหนือ ภูฏาน เนปาล เทือกเขาหิมาลัยทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พม่า จีน ลาว
สถานภาพ :  
-          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

            คลิกดูรูป

ชื่อไทย : เอื้องเข็มชมพู, เข็มหนู, กุหลาบดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ascocentrum semiteretifolium Seidenf.
ลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ที่มีใบเป็นแบบใบกลม มีร่องลึกทางด้านบนของใบ ใบกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร มีดอกสีม่วงอ่อนช่อดอกตั้งหรือเอนเล็กน้อย ยาวใกล้เคียงใบ ดอกในช่อโปร่ง ขนาดดอก 0.6-1เซนติเมตร กล้วยไม่ชนิดนี้พบน้อยมาก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย ลักษณะของต้นและดอกไม่เป็นที่นิยมของนักปลูกเลี้ยง
ช่วงออกดอก :  ประมาณมีนาคม - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : พบที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ระดับความสูง 1,800-1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นกล้วยไม้ที่ค่อนข้างหายากและตามป่าดิบแล้งในภาคเหนือ
การกระจายพันธุ์ : พบเฉพาะในปนะเทศไทย
สถานภาพ :
-          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
-          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
  
            กล้วยไม้สกุลเข็มเป็นกล้วยไม้ที่ดอกมีสีสันสดใส มีช่อดอกแข็งชูตั้งขึ้นเป็นรูปทรงกระบอก ดอกแน่นเป็นระเบียบ สามารถให้ดอกพร้อมกันได้หลายช่อ ปลูกเลี้ยงง่าย จึงนิยมนำกล้วยไม้สกุลเข็ม (Ascocentrum) ผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมแอสโคเซ็นด้า (Ascocenda) ซึ่งจะทำให้ได้กล้วยไม้ที่มีสวยงามขึ้น ออกดอกดกขึ้น ดอกบานทนและปลูกเลี้ยงง่ายขึ้น

ลูกผสมแอสโคเซ็นด้าระดับแรก
            หมายถึงแอสโคเซ็นด้าที่เกิดจากการผสมระหว่างแวนด้ากับเข็มโดยตรง เป็นแอสโคเซ็นด้าที่มีสายพันธุ์แวนด้าและเข็มอย่างละครึ่ง แอสโคเซ็นด้าระดับแรกมีคุณสมบัติเด่นอยู่หลายประการ เช่น สีของดอกที่สดใสสวยสะดุดตา สำหรับรายละเอียดต่างๆ เช่นจุดประ หรือแต้มสีต่าง ที่ปรากฏบนดอกแวนด้าจะเลือนลางหรือเหลือเพียงจุดละเอียดประปรายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขนาดของดอกจัดอยู่ในประเภทดอกขนาดกลาง (intermediate type) ช่อดอกรูปทรงกระบอกตั้ง มีจำนวนดอกภายในช่อมากกว่าแวนด้า แอสโคเซ็นด้าระดับนี้จะมีนิสัยเลี้ยงง่าย โตเร็ว และให้ดอกตลอดทั้งปีในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย เช่น
          1.แอสโคเซ็นด้า คาธี เออนี่ (Ascoda Kathy Arne) เป็นลูกผสมระหว่าง แวนด้า เจเนท ฟูกูโดะ (V. Janet Fukudo) กับ เข็มแดง (Asctum currvifolium)
          2.แอสโคเซ็นด้า เมม จิม วิลกินส์ (Ascoda Mem Jim Wilkins) เป็นลูกผสมระหว่าง แวนด้า เจนนี่ ฮาชโมโตะ (V. Jennie Hashimoto) กับ เข็มแดง (Asctum curvifolium)
          3.แอสโคเซ็นด้า ฟลอริด้า ซันเซต (Ascoda Florida Sunset) เป็นลูกผสมระหว่างแวนด้า เจฟฟรีย์ (V.Feffrey) กับ เข็มแดง (Asctum curvifolium)
          4.แอสโคเซ็นด้า ครายเซ่ เป็นลูกผสมระหว่าง แวนด้าลาเม็ลเลต้า กับ เข็มแสด
          5.แอสโคเซ็นด้า สาคริก เป็นลูกผสมระหว่าง แวนด้าเซนเดอร์เรียน่า กับ เข็มแสด
          6.แอสโคเซ็นด้า เบบี้ บลู (Ascda Baby Blue) เป็นลูกผสมระหว่าง แวนด้า เซอรูเลสเซ็นส์ หรือ ฟ้ามุ่ยน้อย (V. coerulescens) กับเข็มม่วง

ลูกผสมแอสโคเซ็นด้าระดับสอง
            หมายถึงลูกผสมเอสโคเซ็นด้าที่เกิดจากการใช้แอสโคเซ็นด้าระดับแรกที่ปลูกเลี้ยงจนออกดอกแล้วมาผสมกลับไปหาแวนด้าใบแบนหรือเข็มอีกที ลูกผสมแอสโคเซ็นด้าระดับสองที่เกิดจากการผสมกลับไปหาแวนด้าพบว่า มีขนาดต้นโตขึ้น ขนาดดอกใหญ่ขึ้น บางต้นมีขนาดดอกเท่าแวนด้า ส่วนลูกผสมแอสโคเซ็นด้าระดับสองที่เกิดจากการผสมกลับไปหาเข็มพบว่า ต้นมีขนาดและรูปทรงเล็กลง ทั้งขนาดดอกก็เล็กลงกว่าแอสโคเซ็นด้าระดับแรก แต่สีดอกจะดูสดใสสะดุดตาขึ้น สำหรับลูกผสมแอสโคเซ็นด้าระดับสองมีดังนี้
          1.แอสโคเซ็นด้า มีด้าแซนด์ (Ascda. Medasand) เป็นลูกผสมระหว่างแอสโคเซ็นด้า มีด้า อาร์โนลด์ (Ascda. Meda Anold) กับ แวนด้า แซนเดอร์เรียน่า (V. Sanderiana)
          2.แอสโคเซ็นด้า จิ้ม ลิ้ม (Ascda. Jim Lim) เป็นลูกผสมระหว่าง แอสโคเซ็นด้า มีด้า อาร์โนลด์ (Ascda. Meda Arnold) กับ แวนด้า เบนโซนิอิ (V. bensonii)
          3.แอสโคเซ็นด้า บีวิทเชด (Ascda. Bewitched) เป็นลูกผสมระหว่าง แอสโคเซ็นด้า มีด้า อาร์โนลด์ (Ascda. Meda Arnold) กับ แวนด้า บิล ซัตตัน (V. Bill Sutton)
          4.แอสโคเซ็นด้า ซาราวัค (Ascda. Sarawak) เป็นลูกผสมระหว่าง แอสโคเซ็นด้า มีด้า อาร์โนลด์ (Ascda. Arnold) กับ แวนด้าบอร์เนียว(V. Borneo)
          5.แอสโคเซ็นด้า ลิเลียน ยูริโกะ นิวิอิ (Ascda. Lilian Yuriko Nivei) เป็นลูกผสมระหว่างแอสโคเซ็นด้า โอฟิเลีย (Ascda. Ophelia) กับ แวนด้าบอสชิอิ (V. Boschii)
          6.แอสโคเซ็นด้า แยบ กิม ไฮ (Ascda. Yap Kim Hei) เป็นลูกผสมระหว่าง แอสโคเซ็นด้า โอฟิเลีย (Ascda. Ophelia) กับ แวนด้า เซอรูเลีย หรือ ฟ้ามุ่ย (V. coerulea)

กล้วยไม้สกุลแคทลียา Cattleya

กล้วยไม้สกุลแคทลียา Cattleya

            แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่ได้รับความนิยมปลูกเลี้ยงอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ เนื่องจากแคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่มีดอกขนาดใหญ่ที่สุดและสีสวยงามที่สุด บางชนิดมีกลิ่นหอม และถือกันว่าแคทลียาเป็น ราชินีแห่งกล้วยไม้ และเป็นสัญลักษณ์สากลของกล้วยไม้ทั่วไป
            แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ตอนเหนือ เป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตและมีรูปทรงแบบซิมโพเดี้ยล คือมีเหง้าแนบไปตามเครื่องปลูก เหง้าอาจจะมีทั้งยาวและสั้น มีรากงอกเจริญจากเหง้า ไม่มีรากแขนง เป็นระบบรากกึ่งอากาศดูดอาหารจากอากาศและเครื่องปลูก แคทลียาเป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วย มีหลายลักษณะ บางชนิดลำลูกกล้วยเป็นข้อปล้อง รูปทรงของลำป่องตรงกลางหรือค่อนไปข้างบนของลำเล็กน้อย มีหน้าที่เก็บสะสมอาหาร เหนือข้อที่โคนลำจะมีตา ตา คือตาซ้าย และตาขวา เป็นตาแตกลำใหม่ง่ายที่สุด บางชนิดที่ลำลูกกล้วยอ้วนป้อม บางชนิดเป็นรูปทรงกระบอกหรือบิดเป็นเกลียวเล็กน้อย ผิวพื้นของลำอาจเกลี้ยงหรือเป็นร่องตามความยาวของลำ เมื่อกล้วยไม้เจริญเติบโต ลำที่ 1 หรือเรียกว่าลำหลัง จะแตกตาออกแล้วเจริญเป็นลำที่ หรือเรียกว่าลำหน้า เมื่อลำที่ เจริญดีแล้วก็จะแตกตาออกเป็นลำที่ และที่ ออกไปเรื่อยๆ บางครั้งตาแตกออกเป็น ทางเรียกว่า ไม้ หน้า จึงทำให้ดูเป็นกอใหญ่ โดยมีเหง้าเป็นส่วนที่เชื่อมโยงของลำลูกกล้วยลำต่อลำ และเป็นส่วนของลำที่เจริญออกจากลำเดิม
                                
                         
แคทลียามีใบเกิดที่ส่วนปลายลำลูกกล้วยเท่านั้น ในลำใหม่ที่กำลังเจริญใบส่วนมากแบน แต่บางชนิดใบกลมรูปทรงกระบอก ใบอาจมีหรือไม่มีกาบ รูปลักษณะค่อนข้างหนาแข็ง แต่ไม่เปราะ ลำลูกกล้วยลำหนึ่งอาจจะมีใบเพียงใบเดียวหรือสองใบก็ได้ ลักษณะของใบใช้ในการแบ่งประเภทของกล้วยไม้สกุลแคทลียา โดยแบ่งออกเป็น ประเภท คือ
  1. ประเภทใบเดี่ยว เป็นแคทลียาประเภทที่ปลายลำลูกกล้วยมีใบเพียงใบเดียวเท่านั้น แคทลียาประเภทนี้มักออกดอกน้อย ช่อหนึ่งอาจมีเพียง หรือ ดอกเท่านั้น ลักษณะดอกใหญ่ ช่อดอกสั้น
  2. ประเภทใบคู่ เป็นแคทลียาประเภทที่ลำลูกกล้วยมี ใบ อาจจะมีใบถึง ใบก็ได้ แคทลียาประเภทนี้จะออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีหลายดอก ดอกเล็กช่อยาว
แคทลียาออกดอกที่ปลายลำลูกกล้วย เมื่อออกดอกจะออกลำหน้าซึ่งเมื่อมีลำหน้าหลายลำเวลาออกดอกจะออกดอกทีละมากๆ บางครั้งอาจมีถึง 10 ช่อ การออกดอกในแต่ละช่อ ช่อดอกหนึ่งๆ อาจมีดอกเพียง ดอก, 2 ดอก, 3 ดอก หรือบางชนิดอาจมีถึง 10 ดอกก็ได้ ลักษณะของกลีบดอกมีกลีบนอก กลีบ อยู่ข้างบน กลีบ ข้างล่าง กลีบ ขนาดเท่าๆ กัน กลีบในมี กลีบ กลีบใน กลีบบนมีรูปร่างเหมือนกัน โดยปกติมีขนาดใหญ่กว่ากลีบนอก กลีบในที่ อยู่ที่ตอนล่างมีรูปร่างไม่เหมือนกับกลีบในบน กลีบจะม้วนทั้ง ข้างเรียกว่า ปาก หรือ กระเป๋า ปากมีหูกว้าง ริมปากหยักเป็นคลื่นและมีสีเข้มกว่าส่วนอื่นๆ ภายในปากมีเส้นเกสรค่อนข้างยาวและโค้งเล็กน้อยยื่นออกมา แคทลียามีเกสรตัวผู้อยู่ตอนปลายเส้าเกสรเป็นคู่มี คู่ เกสรตัวเมียอยู่ตอนล่าง เส้าเกสรนี้เป็นที่รวมของอวัยวะตัวเมียซึ่งมีรังไข่อยู่ติดกับเส้าเกสรด้านล่างเห็นเป็นลักษณะคอดเล็กยาวชัดเจนเมื่อติดฝัก ซึ่งฝักนี้จะมีเมล็ดเป็นผงเล็กมากอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก เมื่อแก่จัดฝักก็จะแตกและเมล็ดจะแพร่กระจายปลิวไปตกยังที่ต่างๆ เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะงอกเจริญเป็นต้นใหม่และขยายพันธุ์ต่อไปตามวงจรชีวิตธรรมชาติ.
            แคทลียาลูกผสม เป็นกล้วยไม้ที่เกิดจากการผสมข้ามสกุลระหว่างกล้วยไม้สกุลแคทลียากับกล้วยไม้สกุลใกล้เคียงอื่นๆ เช่น
  1. กล้วยไม้สกุลลีเลีย (Laelia)
  2. กล้วยไม้สกุลบรัสซาโวลา (Brassavola)
  3. กล้วยไม้สกุลโซโฟไนตีส (Sophronitis)
  4. กล้วยไม้สกุลเอพิเดนดรัม (Epidendrum)
  5. กล้วยไม้สกุลชอมบูเกีย (Schomburgkia)

แคทลียาลูกผสม 
สกุล
            เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้สกุลแคทลียาแท้ผสมกับกล้วยไม้สกุลต่างๆ เกิดเป็นแคทลียาลูกผสม สกุล เช่น
  1. ลีลิโอแคทลียา (Laeliocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากสกุลแคทลียาผสมข้ามสกุลกับลีเลีย
  2. บรัสโซแคทลียา (Brassocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากสกุลแคทลียาผสมข้ามสกุลกับบรัสซาโวลา
  3. โซโฟรแคทลียา (Sophrocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากสกุลแคทลียาผสมข้ามสกุลกับโซโฟรไนตีส
  4. เอพิแคทลียา (Epicattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากสกุลแคทลียาผสมข้ามสกุลกับเอพิเดนดรัม
  5. ชอมบูแคทลียา (Schombocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากสกุลแคทลียาผสมข้ามสกุลกับชอมบูเกีย

แคทลียาลูกผสม 
สกุล
            เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้แคทลียาลูกผสมที่ผสมแล้ว สกุลผสมข้ามกับอีกสกุลหนึ่ง เกิดเป็นแคทลียาลูกผสมสกุล เช่น
  • บรัสโซลีลิโอแคทลียา (Brassolaeliocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้บรัสโซแคทลียาผสมกับกล้วยไม้สกุลลีเลีย (สกุลแคทลียาผสมกับสกุลบรัสซาโวลาผสมกับสกุลลีเลีย)
  • เอพิลีลิโอแคทลียา (Epilaeliocattleya) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้ลีลิโอแคทลียาผสมกับกล้วยไม้สกุลเอพิเดนดรัม (สกุลแคทลียาผสมกับสกุลลีเลียผสมกับสกุลเอพิเดนดรัม)
  • เอพิคาโทเนีย (Epicatonia) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้เอพิแคทลียาผสมกับกล้วยไม้สกุลสกุลบรัสซาโวลา (สกุลแคทลียาผสมกับสกุลเอพิเดนดรัมผสมกับสกุลบรัสซาโวลา)
  • ดีเคนสารา (Dekensara) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้บรัสโซแคทลียาผสมกับกล้วยไม้สกุลชอมบูเกีย (สกุลแคทลียาผสมกับสกุลบรัสซาโวลาผสมกับสกุลชอมบูเกีย)

แคทลียาลูกผสม 
สกุล
            เป็นกล้วยไม้ลูกผสมที่เกิดจากกล้วยไม้แคทลียาลูกผสมที่ผสมแล้ว สกุลกับอีกสกุลหนึ่งเกิดเป็นแคทลียาลูกผสม สกุล เช่น
  • ยามาดารา (Yamadara) เป็นลูกผสมกล้วยไม้ที่เกิดจากกล้วยไม้บรัสโซเลลิโอแคทลียาผสมข้ามกับสกุลเอพิเดนดรัม
  • โพตินารา (Potinara) เป็นลูกผสมกล้วยไม้ที่เกิดจากกล้วยไม้บรัสโซเลลิโอแคทลียาผสมข้ามกับสกุลโซโฟรไนตีส
  • กล้วยไม้สกุลช้าง Rhynchostylis

                จากการสำรวจพบว่ากล้วยไม้สกุลช้างที่มีอยู่ในโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศในแถบอินโดจีน อินเดีย ศรีลังกา ภาคใต้ของหมู่เกาะในทะเลจีน และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก สำหรับในประเทศไทยพบว่ากล้วยไม้สกุลช้างมีกระจายพันธุ์อยู่ทุกภาคของประเทศ บางภาคอาจมีกล้วยไม้สกุลช้างชนิดหนึ่งแต่อาจไม่มีอีกชนิดหนึ่ง กล้วยไม้สกุลช้างที่พบตามธรรมชาติเพียง ชนิด คือ ช้าง (Rhynchostylis gigantea) ไอยเรศหรือพวงมาลัย (Rhynchostylis retusa) เขาแกะ (Rhynchostylis coelestis) และช้างฟิลิปปินส์ (Rhynchostylis violacea) สำหรับ ชนิดแรกมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง ส่วนช้างฟิลิปปินส์มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์
                                    
                กล้วยไม้สกุลช้างมีการเจริญเติบโตแบบฐานเดี่ยว มีลักษณะแตกต่างไปจากกล้วยไม้สกุลอื่นๆ คือ มีลำต้นสั้น แข็งแรง ใบแข็ง หนาค่อนข้างยาว อวบน้ำ เรียงชิดกันอยู่บนลำต้น ใบเป็นร่อง หน้าตัดของใบรูปตัววี สันล่างของใบเห็นได้ชัด ใบอาจมีเส้นใบเป็นเส้นขนานสีจางๆ หลายๆ เส้นตามความยาวของใบ ปลายใบหยักมนหรือเป็นฟันแหลมไม่เท่ากัน รากเป็นระบบรากอากาศ มีขนาดใหญ่ แขนงรากใหญ่ ปลายรากมีสีเขียวซึ่งสามารถปรุงอาหารด้วยวิธีสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ช่อดอกอาจห้อยลงหรือตั้งขึ้น ความยาวของช่อดอกเกือบเท่าๆ กับความยาวของใบ ดอกมีเป็นจำนวนมากแน่นช่อดอก กลีบนอกและกลีบในของดอกแผ่ออก อาจมีจุดหรือไม่มีจุดสีม่วงหรือสีน้ำเงินก็ได้ ขนาดของกลีบนอกโตกว่ากลีบใน เส้าเกสรสั้น ปากไม่มีข้อพับ ปลายปากไม่หยัก หรือหยักเป็นลอนเล็กๆ 3ลอน ปลายปากชี้ตรงไปข้างหน้า ปากเชื่อมต่อกับฐานสั้นๆ ของเส้าเกสร จึงดูเหมือนว่าไม่มีฐานของเส้าเกสร เดือยของดอกแบน ชี้ตรงไปข้างหลัง มีอับเรณู ก้อน แยกออกจากกัน ออกดอกปีละครั้ง บ้างต้นอาจมีดอกครั้งละหลายๆ ช่อ 


    ชื่อไทย 
    ช้าง
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis giganteaลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้ช้างมีรูปร่างใหญ่โตกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นๆ ในสกุลเดียวกัน ใบหนา แข็ง ยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตรกว้างประมาณ 5-เซนติเมตร ปลายใบเป็นแฉก แฉก มน และสองแฉกของใบไม่เท่ากัน รากเป็นรากอากาศ มีขนาดใหญ่ ปลายรากมีสีเขียว ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกโค้งลง ช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร มีดอกแน่นช่อ ช่อละ 25-60 ดอก ขนาดดอกประมาณ 2.5-3.0 เซนติเมตร กลีบนอกคู่ล่างกว้างยาวพอๆ กันกับกลีบนอกบน ส่วนกลีบในเรียวกว่ากลีบนอก เดือยดอกอยู่ในลักษณะเหยียดตรงไปข้างหน้า ปลายแผ่นปากหนา แข็งและปลายสองข้างเบนเข้าหากัน ปลายปากมี แฉก สองแฉกข้างมน แฉกกลางมนและมีขนาดเล็กกว่ามาก ใกล้โคนปากด้านบนมีสันนูนเตี้ยๆ สัน ดอกมีกลิ่นหอมฉุน หอมไกล กล้วยไม้ช้างเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากเนื่องจากเลี้ยงได้ง่าย ออกดอกทุกปี การที่กล้วยไม้ชนิดนี้ได้ชื่อว่า ช้าง” อาจมาจากสองกรณีคือ ลักษณะที่มีลำต้น ใบ ราก ช่อดอก และดอกใหญ่กว่ากล้วยไม้ชนิดอื่น อีกกรณีหนึ่งอาจเป็นเพราะดอกตูมของกล้วยไม้ชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายหัวช้างและมีเดือยดอกคล้ายกับงวงช้างช่วงออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม  กุมภาพันธ์ และบานทนได้ประมาณสองหรือสามสัปดาห์แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : กล้วยไม้ช้างมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย พม่า ทางตอนใต้ของจีน ประเทศในแถบอินโดจีน อินโดนีเซีย และหมู่เกาะทะเลจีนใต้ สำหรับในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติในแถบภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น หนองคา มุกดาหาร สกลนคร เลย นครราชสีมา ต่ำลงมาจนถึงตอนเหนือของภาคกลาง เช่น นครสวรรค์ ชัยนาท และภาคตะวันออก เช่น ปราจีนบุรี และแถบจังหวัดกาญจนบุรี พบขึ้นกระจายทั่วไปในป่าที่มีระดับความสูงประมาณ 260-350 เมตรจากระดับน้ำทะเลสถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484                                  
        
    ชื่อไทย 
    ช้างกระ
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis gigantean (Lindl.Ridl.ลักษณะทั่วไป :  ต้นตั้งตรงเอนเล็กน้อย รากใหญ่และยาว ใบใหญ่ หนา อวบ และเหนียวขนาด 15-30 x 4-6 (ถึง 8) เซนติเมตร เรียงตัวยาวสลับซ้ายขวาค่อนข้างถี่ ช่อดอกทอดตัวเอนลงเล็กน้อยหรือเอนโค้งลง ยาวใกล้เคียงกับความยาวของใบ ดิกในช่อค่อนข้างหนาแน่นบานทนเป็นสัปดาห์ ขนาดดอก 2- 2.5 เซนติเมตร กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย กล้วยไม้ชนิดนี้มีหลายสายพันธุ์ มีชื่อเรียนตามสีของดอก ทุกพันธุ์มีกลิ่นหอม แต่พันธุ์ที่ปลูกง่ายคือช้างกระช่วงออกดอก  ประมาณเดือนธันวาคม  กุมพาพันธ์ (ช่วงฤดูหนาว)แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบเกือบทุกภาคของประเทศไทย (ยกเว้นภาคใต้)สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484        
       
    ชื่อไทย 
    ช้างเผือก
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rhynchostylis gigantean  (Lindl.Ridl.ลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นอวบตั้งตรงหรือเอนเอียงเล็กน้อย ใบรูปขนานออกเรียงสลับกันระนาบเดียวกันผ่าใบหน้าและเหนียว มีลายเป็นเส้นสีเขียวอ่อนสลับสีเขียวเข็มตามความยาวของใบ ขนาดใบกว้าง 5- 7 เซนติเมตร ยาว 25-40 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อรูปทรงกระบอกช่อดอกค่อนข้างหนาแน่นโค้งเอนลง ดอกมีสีขาวทั้งดอก มีกลิ่นหอมมากเวลาสายช่วงออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม  กุมพาพันธ์ (ช่วงฤดูหนาว)แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบตามภาคตะวันออกของไทย จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484                                 
        
    ชื่อไทย 
    ช้างแดง
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis gigantean(Lindl.)Ridl.ลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นอวบตั้งตรงหรือเอนเอียงเล็กน้อย ใบรูปขอบขนาน ออกเรียนสลับระนาบเดียวกัน แผ่นใบหนาและเหนี่ยวมีลายเป็นเส้นสีเขียวอ่อนสลับสีเขียวเข้มตามความยาวของใบ ขนาดใบกว้าง 5-7 เซนติเมตร ยาว 25-40 เซนติเมตรดอกออกเป็นช่อรูปทรงกระบอก ช่อดอกค่อนข้างหนาแน่น โค้งลง ดอกมีแดงเข็มทั้งดอก มีกลิ่นหอมมากเวลาสายช่วงออกดอก  ประมาณเดือนธันวาคม  มีนาคม (ช่วงฤดูหนาว)แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของไทย พม่า ลาว จีนตอนใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484                                 
       
    ชื่อไทย 
    ช้างพลาย
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis(Lindl.)Ridl.ลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นตั้งตรงเล็กน้อย ใบหนาและแข็งแผ่นใบมีสีเขียว ขอบใบเรียว ปลายใบแยกออกเป็นสองแฉก เห็นเส้นกลางใบเป็นล่องชัดเจน ขนาดใบกว้าง 5 -7 เซนติเมตร ยาว 25-40 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อรูปทรงกระบอกห้อยลง แต่ละช่อจะมีดอกห้อยหนาแน่น กลีบเลี้ยงละกลีบดอกจะมีพื้นสีขาว มีแต้มสีชมพุแดง เป็นถบกว้างกว่าช้างกระ กลีบปากสีชมพูแดง ดอกมีกลิ่นหอมเวลาสายช่วงออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม - กุมพาพันธุ์แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของไทย, จีน  และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484             
        
    ชื่อไทย 
    ช้างดำ
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Pomatocalpa spicatum Bredaลักษณะทั่วไป :  ลำต้น เจริญปลายสูง 7- 10 เซนติเมตร ลำต้นสั้น ใบรูปขอบขนานปลายใบเว้ากว้าง 2- 3 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อจากซอกใบข้างลำต้นมี่หลายช่อ แต่ละชื่อยาว 8- 13 เซนติเมตร มักทอดขนานกับพื้นหรือห้อยลง ดอกย่อยมีจำนวลมากเรียนแน่น กลีบเลี่ยงและกลีบดอกสีเหลือง มีประสีน้ำตาลแดง กลีบปากสีจางมีเดือยขนานใหญ่ ปลายกลีบปากเป็นติ่ง ดอกบานเต็มที่กว้าง 0.6 เซนติเมตรช่วงออกดอก ประมาณเดือนสิงหาคม  ตุลาคม แหล่งที่พบในประเทศไทย ตามป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้นเขตการกระจายพันธุ์ : อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
         
    ชื่อไทย 
    ไอยเรศหรือพวงมาลัย  หางกระลอก  เอื้องพวงหางฮอก(ภาคเหนือ)  อัยเรศ(กรุงเทพมหานคร)
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis retusa (L.)Blumeลักษณะทั่วไป :  ไอยเรศมีลำต้นใหญ่แข็งแรงคล้ายกล้วยไม้ช้าง แต่ใบยาวกว่าและแคบกว่า ใบยาวประมาณ 40 เซนติเมตร กว้างประมาณ เซนติเมตร มีทางสีเขียวแก่สลับกับสีเขียวอ่อนตามความยาวของใบคล้ายกล้วยไม้ช้าง ปลายใบมีลักษณะเป็นฟันแหลมไม่เท่ากัน ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก โค้งห้อยลง ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านช่อยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร มีดอกแน่นช่อ ในหนึ่งช่อมีดอกประมาณ 150 ดอก มากกว่ากล้วยไม้ช้าง รูปร่างลักษณะของช่อดอกที่ยาวเป็นรูปทรงกระบอกคล้ายกับลักษณะของพวงมาลัย จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พวงมาลัย” ต้นใหญ่ๆ มักจะแตกหน่อที่โคนต้น เกิดเป็นกอใหญ่ขึ้นได้ ดอกขนาดมีขนาดประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร สีพื้นของกลีบนอกและกลีบในของดอกเป็นสีขาว มีจุดสีม่วงประปราย เดือยดอกมีสีม่วงอ่อน แผ่นปากมีลักษณะโค้งขึ้นบนแล้วยื่นไปข้างหน้า มีแต้มสีม่วงตรงกลางแผ่นปากส่วนโคนและปลายสุดแผ่นปากเป็นสีขาว ปลายแผ่นปากเว้า เส้าเกสรเห็นชัด ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ สัปดาห์ ไอยเรศที่มีดอกสีขาว ไม่มีสีม่วงปะปนอยู่เลย เรียก "ไอยเรศเผือก" ซึ่งหาได้ยากไอยเรศปลูกเลี้ยงได้ง่าย ให้ดอกทุกปี และชอบแสงแดดมากกว่ากล้วยไม้ช้าง การปลูกอาจเกาะไว้กับกิ่งไม้หรือท่อนไม้ ไว้ในบริเวณที่ได้รับแสงแดด หรือจะปลูกลงกระเช้าไม้ แขวนไว้ในบริเวณที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ ควรให้ได้รับแสงแดดมากกว่ากล้วยไม้ช้างเล็กน้อย และควรปลูกในเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม เนื่องจากช่วงต้นฤดูฝนจะทำให้ต้นและรากเติบโตดี ช่วงออกดอก ประมาณเดือนเมษายน- พฤษภาคมแหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :ไอยเรศเป็นกล้วยไม้ป่าพันธุ์แท้ที่มีถิ่นกำเนิดกระจายไปทั่วประเทศไทยและในประเทศศรีลังกา เนปาล ภูฎาน พม่า จีน ประเทศแถบอินโดจีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และหมู่เกาะบอร์เนียว ในประเทศไทยพบในป่าที่มีระดับความสูงตั้งแต่ประมาณ 150-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลสถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
      
    ชื่อไทย 
    เอื้องไอยเรศเผือก
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis retusa (L.)Blume “alba”ลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นขนาดใหญ่แข็งแรง และมักห้อยลงเล็กน้อย ใบรูปขอบขนาน ออกเรียนสลับซ้ายขวา ลักษณะใบแคบยาวและเหนียว ปลายใบตัดเป็นฟันแหลมไม่เท่ากัน ดอก ออกเป็นช่อรูปทรงกระบอก ช่อดอกยาวโค้งลง ดอกย่อยเรียนตัวค่อนข้างหนาแน่น กลีบเลี้ยง กลีบดอก และกลีบปากมีสีขาวทั้งหมดช่วงออกดอก ประมาณเดือนเมษายน  กรกฎาคม (ฤดูร้อน-ต้นฤดูฝน)แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบมากทั่วทุกภาคของไทย พม่า จีนตอนใต้ มาเลเซีย  อินโดจีน ศรีลังกา และอินเดียสถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
                
    ชื่อไทย 
    เขาแกะ  เอื้องขี้หมา  เขาควาย
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhynchostylis coelestis (Rchb.f.Rchb. F. ex .H.J. Veitchลักษณะทั่วไป :  เป็นกล้วยไม้ชนิดเดียวในสกุลช้างที่มีลักษณะช่อดอกตั้งขึ้น ใบมีลักษณะแบนคล้ายแวนด้า ยาวประมาณ 15เซนติเมตร และบางกว่ากล้วยไม้ชนิดอื่นในสกุลเดียวกัน โคนใบซ้อนกันเป็นแผง ใบโค้งสลับกันในทางตรงกันข้าม ด้วยลักษณะนี้เองจึงได้ชื่อว่า เขาแกะ” ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก มีดอกแน่นช่อ ดอกมีขนาดประมาณ เซนติเมตร กลีบดอกทั้งกลีบนอกและกลีบในมีพื้นสีขาว มีแต้มสีม่วงครามที่ปลายกลีบทุกกลีบ ฐานของแผ่นปากและครึ่งหนึ่งของแผ่นปากที่ต่อกับฐานมีสีขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของแผ่นปากเป็นสีม่วงครามเช่นเดียวกับที่ปลายกลีบแต่สีเข้มกว่า ปากของเขาแกะคล้ายกับปากของไอยเรศ สีม่วงครามของเขาแกะบางต้นอาจมีสีต่างออกไป เช่น มีสีม่วงมากจนเกือบแดง เรียกว่า เขาแกะแดง” บางต้นมีสีไปทางสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน บางต้นดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ เรียกว่า เขาแกะเผือก” ซึ่งค่อนข้างหาได้ยาก เดือยดอกยาวกว่าและแคบกว่าของไอยเรศ ปลายของเดือยดอกโค้งลง ดอกบานทนประมาณสองสัปดาห์ เขาแกะเป็นกล้วยไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนแล้งได้ดี ชอบแสงแดดและอากาศถ่ายเทมากกว่าไอยเรศและช้าง อาจปลูกติดไว้กับต้นไม้ ท่อนไม้ หรือปลูกลงกระเช้าไม้ เนื่องจากปลูกเลี้ยงได้ง่าย ช่อดอกตั้ง สีของดอกเป็นสีม่วงครามหรือใกล้ไปทางสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีที่หาได้ยากในกล้วยไม้ทั่วๆ ไป จึงนิยมนำเขาแกะไปผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้ชนิดอื่นอีกหลายชนิดโดยเฉพาะกล้วยไม้ในสกุลใกล้เคียงกับกล้วยไม้สกุลแวนดา เพื่อพัฒนาเป็นกล้วยไม้ตัดดอกหรือเป็นกล้วยไม้ประเภทสวยงามช่วงออกดอก ประมาณเดือนเมษายน - มิถุนายน
    แหล่งที่พบในประเทศไทยพบตามป่าผลิใบหรือป่าดิบแล้ง ยกเว้นภาคใต้
    เขตการกระจายพันธุ์ : เขาแกะมีถิ่นกำเนิดกระจายอยู่ทุกภาคของประเทศไทย มักพบขึ้นในป่าโปร่งผลัดใบ ทั้งในภูมิภาคที่เป็นภูเขาและที่ราบ แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สถานภาพ :
    -                    พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -                    ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

    กล้วยไม้สกุลฟาแลนอปซีส Phalaenopsis

    กล้วยไม้สกุลฟาแลนอปซีส Phalaenopsis

                    กล้วยไม้สกุลฟาแลนอปซีสปลูกเลี้ยงกันในประเทศไทยมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยมีผู้สนใจมากนักเนื่องจากดอกมีขนาดเล็กแต่ปัจจุบันกล้วยไม้สกุลนี้กำลังเป็นที่สนใจของผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะกล้วยไม้สกุลนี้ได้ถูกปรับปรุงพันธุ์และผสมกันมาหลายทอด จนทำให้สวยงามทั้งรูปทรงดอกและสีของดอก ดอกกลมใหญ่ กลีบหนา ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีเหลือง ก้านช่อยาว เหมาะสำหรับปักแจกัน ต้นหนึ่งออกดอกได้หลายช่อ แต่ละพันธุ์ออกดอกต่างเดือนกัน บางชนิดออกดอกในเดือนที่ตลาดต้องการดอกไม้ตัดดอก จึงทำให้ผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ตัดดอกสนใจการเลี้ยงกล้วยไม้สกุลนี้มากขึ้น
                   
       

                กล้วยไม้ฟาแลนอปซีส มีแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติและกระจายพันธุ์อยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ บอร์เนียว ชวา สุมาตรา มาเลเซีย สำหรับประเทศไทยมีกล้วยไม้สกุลนี้อยู่ 2-3 ชนิด เช่น เขากวาง กาตาฉ่อ ขนาดของดอกมีใหญ่และเล็กตามลักษณะของพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกกันอยู่ในขณะนี้เป็นพันธุ์ลูกผสม ที่มีการปรับปรุงพันธุ์และผสมกันมาหลายทอด จนดอกกลมใหญ่ ลักษณะของลำต้นทรงเตี้ยตรง การเจริญเติบโตเป็นแบบโมโนโพเดี้ยล ใบอวบน้ำ ค่อนข้างหนาแผ่แบนรูปคล้ายใบพาย ดอกกลมใหญ่ ขนาดกว้างประมาณ 5-ซม. กลีบหนา ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพูสีเหลือง มองดูดอกแล้วงาม ทั้งฟอร์มดอกและสี ก้านช่อยาว บางช่อยาวถึง 80 ซม. ช่อหนึ่งมีหลายดอก เรียงไปตามก้านช่ออย่างมีระเบียบ บางต้นแยกออกเป็นหลายช่อ ดอกบานทน ถ้าบานอยู่กับต้นสามารถบานอยู่ได้นานเป็นเดือน เป็นกล้วยไม้ที่เลี้ยงง่ายสามารถเจริญงอกงามและออกดอกให้ได้ดีในสภาพสิ่งแวดล้อมต่างๆ กัน นอกจากนี้ยังสามารถผสมข้ามสกุลกับสกุลกล้วยไม้สกุลต่างๆ ได้หลายสกุล เช่น 
    ผสมกับสกุลแวนด้า ผสมกับสกุลอะแรคนิส ผสมกับสกุลเรแนนเทอร่า เป็นต้น               การปลูกกล้วยไม้ฟาแลนอปซีสลงกระถางหรือกระเช้าไม้ ควรตั้งต้นกล้วยไม้ตรงกลางให้โคนต้นส่วนเหนือรากอยู่ต่ำกว่าระดับขอบภาชนะปลูกเล็กน้อย การวางต้นกล้วยไม้สูงเกินไปจะทำให้รากกล้วยไม้ได้รับความชื้นไม่เพียงพอ แต่ถ้าปลูกต่ำเกินไปกล้วยไม้ก็จะอยู่ในสภาพที่ชื้นหรือแฉะเกินไป การใส่เครื่องปลูกควรใส่แค่กลบรากเท่านั้น อย่าใส่เครื่องปลูกมากเกินไปจนกระทั่งสูงขึ้นมากลบส่วนของส่วนโคนต้นเพราะอาจจะทำให้โคนต้นแฉะและโคนใบเน่าได้ การปลูกควรปลูกก่อนเข้าฤดูฝนคือประมาณเดือนมีนาคม ถ้าปลูกในฤดูฝนอากาศมีความชื้นสูงและกล้วยไม้กำลังอวบน้ำ อาจทำให้ใบและยอดเน่าได้
            คลิกดูรูป

    ชื่อไทย 
    : เขากวางอ่อน,  เอื้องม้าลายเสือ, เอื้องตะเข็บชื่อวิทยาศาสตร์ : Phalaenopsis cornucervi (Breda) Bl. & Rchb. f.ลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นสูง 4-7 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1- 1.5 เซนติเมตร ผิวสีเทาเงินมันเล็กน้อย ขึ้นเป็นกระจุกแน่น ตามข้อมีแอ่งบุ๋มซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกิดช่อดอก ใบ แผ่นใบรูปรีแกมรูปใบหอก ขนาด 8-10x 1 เซนติเมตร ดอก ช่อดอกเกิดตามข้อใกล้ยอดก้านช่อสั้น ดอกในช่อ 2- 4 ดอก ก้านดอกยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ขนาดดอกประมาณ 1 เซนตอเมตร บานทน 1-3 วัน พบบ่อยมากช่วงออกดอก : กรกฎาคม  สิงหาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย  ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณในทางภาคเหนือและภาคตะวันตกเขตการกระจายพันธุ์ อินเดีย พม่าสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
              คลิกดูรูป

    ชื่อไทย
     : กาตาฉ่อชื่อวิทยาศาสตร์ : Phalaenopsis decumbens Holtt.ลักษณะทั่วไป : ออกดอกเป็นช่อ 8-10 ดอก กลีบสีขาว โคนมีจุดหรือขีดสีม่วง โคนและปลายกลีบดอกกระดก         ขึ้น สีขาว ด้านโคนสีม่วง ดอกขนาด 4-ซม. ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนพฤศจิกายน  มีนาคม (เกือบตลอดปี)แหล่งที่พบในประเทศ : ตามธรรมชาติทั่วทุกภาคของประเทศไทย เขตการกระจายพันธุ์ : ไม่มีข้อมูลสถานภาพ : ไม่มีข้อมูล
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 2 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484

    กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี Paphiopedilum

    กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี Paphiopedilum
            
               กล้วยไม้รองเท้านารี (Lady’s Slipper) เป็นกล้วยไม้สกุล Paphiopedilum มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น รองเท้านาง รองเท้าแตะนารี หรือ บุหงากะสุต ในภาษามาเลเซีย อันหมายถึงรองเท้าของสตรี เนื่องจากกลีบดอก หรือที่เรียกว่า “กระเป๋า” มีรูปร่างคล้ายกับรองเท้าของสตรีและรองเท้าไม้ของชาวเนเธอแลนด์ กระเป๋าของรองเท้านารีมีรูปร่างลักษณะและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

                กล้วยไม้รองเท้านารี มีแหล่งกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดีย ฟิลิปปินส์ พม่า มาเลเซีย และในประเทศไทยซึ่งพบกล้วยไม้รองเท้านารีขึ้นอยู่ในป่าทั่วๆ ไป บางชนิดเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินหรือซอกหินที่มีต้นไม้ใบหญ้าเน่าตายทับถมกัน เจริญงอกงามในที่โปร่ง ไม่ชอบที่รกทึบ แสงแดดส่องถึง
                รองเท้านารี เป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอเช่นเดียวกับ หวาย คัทลียา และซิมบิเดียม ต้นที่แท้จริงเรียกว่า ไรโซม (เหง้า) ต้นหนึ่งหรือกอหนึ่งจะประกอบด้วยต้นย่อยหลายต้น รากออกเป็นกระจุกที่โคนต้นและมักจะทอดไปทางด้านราบมากกว่าหยั่งลึกลงไป หน่อใหม่จะแตกจากตาที่โคนต้นเก่า มีลำต้นสั้นมาก แต่ไม่มีลำลูกกล้วย ใบมีขนาดรูปร่างต่างกันไป บางชนิดมีใบยาว บางชนิดใบตั้งชูขึ้น บางชนิดใบทอดขนานกับพื้น บางชนิดใบมีลาย บางชนิดใบไม่มีลายแต่เป็นสีเดียวเรียบๆ การออกดอกจะออกที่ยอด มีทั้งชนิดออกดอกเป็นดอกเดี่ยว และออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกชั้นนอกกลีบบนมีขนาดใหญ่สะดุดตา ส่วน

                  

    กลีบชั้นนอกคู่ล่างจะเชื่อมติดกันและมีขนาดเล็กลงจนส่วนปากบังมิดหรือเกือบมิด กลีบคู่ในซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกางออกไปทั้ง 2 ข้างซ้ายขวาของดอก ส่วนกลีบในกลีบที่ 3 จะเปลี่ยนเป็น “กระเปาะ” คล้ายรูปรองเท้า กระเปาะนี้มีหน้าที่รับน้ำฝนตกลงไปเพื่อชะล้างเกสรตัวผู้ไปตัดกับแผ่นเกสรตัวเมีย กล้วยไม้สกุลนี้จะมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน แต่จะมีเส้าเกสรแตกต่างจากกล้วยไม้ทั่วๆ ไป คือ ที่ปลายสุดของเส้าเกสร แทนที่จะเป็นอับเรณูกลับเป็นแผ่นบางๆ ซึ่งทางพฤกษาศาสตร์ถือเป็นเกสรที่เปลี่ยนรูปร่างไปใช้การไม่ได้ เรียกส่วนนี้ว่า “สตามิโนด” สำหรับเกสรตัวผู้ที่ใช้การได้มีอยู่ 2 ชุด โดยจะอยู่ถัดต่ำลงมาทั้ง 2 ข้างของเส้าเกสรข้างละ 1 ชุด ในแต่ละชุดจะมีอับเรณูลักษณะเป็นก้อนแข็งอยู่ 2 อัน ถัดต่ำลงมาจากส่วนนี้อีกจะเป็นยอดเกสรตัวเมียซึ่งเป็นแอ่งลึกลงไปยึดติดกับเส้าเกสร (ปกติส่วนนี้จะถูกหูกระเป๋าโอบหุ้มเอาไว้จนมิด) ภายในมีน้ำเมือกเหนียวสำหรับยืดเกสรตัวผู้ที่ตกลงไปในแอ่ง รังไข่อยู่ตรงส่วนของก้านดอก ภายในรังไข่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นไข่อ่อน จนกระทั่งผสมเกสรแล้วจึงเกิดไข่อ่อนในรังไข่ รังไข่จะกลายเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะแตกเมล็ดสามารถเจริญงอกงามเป็นต้นใหม่ได้

                โดยธรรมชาติของกล้วยไม้สกุลรองเท้านารีทุกชนิด เมื่อออกดอกแล้วก็จะตายไป แต่ก่อนตายจะแตกหน่อทดแทน ซึ่งหน่อนี้ก็จะเจริญงอกงามเป็นต้นใหม่ต่อไป ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้รองเท้านารี ที่สำรวจพบ ได้แก่        

    ชื่อไทย : รองเท้านารีอินทนนท์, เอื้องไข่ไก่, เอื้องอินทนนท์ (เชียงใหม่), เอื้องคางกบ, เอื้องแมลงภุ่
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum villosum(Lindl.)Steinลักษณะทั่วไป :  เป็นพันธุ์กล้วยไม้ที่พบเมื่อ พ.ศ.2396 มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณแถบที่มีอากาศชื้นและอุณหภูมิต่ำ เช่น ดอยอินทนนท์ และภูเขาสูง ลักษณะของกล้วยไม้พันธุ์นี้ คือ มีใบสีเขียวสม่ำเสมอทั้งใบ ไม่มีลาย โคนใบส่วนใกล้กับเหง้ามีจุดสีม่วงประปราย และค่อยๆ จางหายตรงส่วนปลายใบ ใบยาวบางและอ่อน เป็นรองเท้านารีที่มีเกสรตัวผู้ต่างจากชนิดอื่นคือ เกสรตัวผู้จับตัวรวมเป็นก้อนแข็งค่อนข้างใส มีสีเหลืองไม่เป็นยางเหนียวช่วงออกดอก : ประมาณเดือนพฤศจิกายน – กุมพาพันธ์แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบเขาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลปลานกลาง 1,200-1,500 เมตรแถบภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก จังหวัดชัยภูมิ เชียงใหม่เขตการกระจายพันธุ์ : อินเดีย จีนตอนใต้ ไทย พม่าสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : รองเท้านารีเหลืองปราจีน
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum concolor (Lindl.ex Banteman) fitzerลักษณะทั่วไป :  ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2402 มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี ลักษณะเด่นของกล้วยไม้พันธุ์นี้ คือ มีใบลาย ท้องใบสีม่วง ก้านดอกยาวมีขน อาจมี 2–3 ดอกบนก้านเดียวกันได้ กลีบดอกด้านบนผายออกคล้ายพัด ปลายมนสูง กลีบในกางพอประมาณ เมื่อดอกบานจะคุ้มมาข้างหน้าแลดูคล้ายดอกบานไม่เต็มที่ พื้นดอกสีเหลืองอ่อน มีประจุดเล็กๆ สีม่วงประปราย กระเปาะสีเดียวกับกลีบดอก ปลายกระเปาะค่อนข้างเรียวแหลมและงอนปลายเส้าเกสรเป็นแผ่นใหญ่ช่วงออกดอก : เมื่อต้นสมบูรณ์เต็มที่แหล่งที่พบในประเทศไทย : สกลนคร สระบุรี โคราช ตราด กาญจนบุรี ประจวบรีขันธ์เขตการกระจายพันธุ์ : จีน พม่า ลาว ไทย เวียดนาม กัมพูชาสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : รองเท้านารีเมืองกาญจน์, กล้วยไม้ร้องเท้านารีฤๅษี
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum parishii(Rchb.f.)Strinลักษณะทั่วไป :  ค้นพบเมื่อ พ.ศ.2402 ถิ่นกำเนิดอยู่แถบจังหวัดกาญจนบุรีและกำแพงเพชร เป็นกล้วยไม้อากาศเกาะอยู่ตามต้นไม้มีลักษณะเด่น คือ มีกลีบในคู่บิดเป็นเกลียวเป็นสายยาวกว่ากลีบนอกประมาณสามเท่าตัวช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมิถุนายน – กันยายนแหล่งที่พบในประเทศไทย : ขึ้นอิงอาศัยตามต้นไม้ในป่าดิบทางภาคตะวันตกเขตการกระจายพันธุ์ : จีนตอนใต้ พม่าสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : รองเท้านารีเหลืองตรัง
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum godefroyae (godefroy-Lebeuf) Steinลักษณะทั่วไป :  ใบค่อนข้างหนา รูปรีแกมขอบขนาน ขนาด 7-10*2.5-3 ซม.ปลายหยักมนตื้น ด้านบนสีเขียว ประเป็นขีดแถบขาว ด้านล่างมีแต้มสีม่วงค่อนข้างทึบ แผ่นใบกางออกเกือบอยู่ในแนวระนาบ ก้านช่อยาว 6-8ซม.สีม่วงแดง มีขนสั้นนุ่ม ดอกในช่อ 1-2 ดอก ขนาดประมาณ 6 ซม. ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2419 ขึ้นตามโขดหิน ถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณเกาะรัง จังหวัดชุมพร ลักษณะเด่น คือ ใบลาย ท้องใบสีม่วง ปลายมนคล้ายรูปลิ้น ก้านดอกสีม่วงมีขน ดอกโตสีครีมเหลือง กลีบนอกบนรูปกลม ปลายยอดแหลมเล็กน้อย กลีบในสองข้างกลมรี ปลายกลีบเว้า ประจุดลายสีน้ำตาลจางตรงโคนกลีบแล้วค่อยจางออกตอนปลาย ปากกระเปาะขาวไม่มีลายช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - สิงหาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : พบตามหมู่เกาะชายฝั่งตะวันตกทางภาคใต้ บริเวรจังหวัดพังงา กระบี่เขตการกระจายพันธุ์ : พบเฉพาะภาคใต้ของประเทศไทยสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : รองเท้านารีอ่างทอง, รองเท้านารีช่องอ่างทอง
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum angthongลักษณะทั่วไป :  คาดว่าเป็นลูกผสมของรองเท้านารีขาวสตูลกับรองเท้านารีเหลืองตรังที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถิ่นกำเนิดอยู่ตามหมู่เกาะบริเวณอ่าวไทย เช่น หมู่เกาะอ่างทอง เกาะสมุย เป็นต้น ลักษณะเด่นของกล้วยไม้พันธุ์นี้ คือ ปลายใบมน ด้านบนสีเขียวคล้ำประลาย ด้านใต้ท้องใบสีม่วงแก่ ก้านดอกยาวมีขน ดอกค่อนข้างเล็กขนาดไม่สม่ำเสมอ การประจุดกระจายจากโคนกลีบ พื้นกลีบดอกสีขาว กลีบค่อนข้างหนาช่วงออกดอก : ประมาณเดือนเมษายน – สิงหาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : เกาะสมุย เกาะอ่างทองเขตการกระจายพันธุ์ : มีการกระจายพันธุ์บริเวณหมู่เกาะอ่างทอง เกาะสมุย ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : 
    รองเท้านารีสุขะกูล, รองเท้านารีปีกแมลงปอ
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum sukhakulii schoser & senghasลักษณะทั่วไป : ใบรียาวขนาด 10-12x2.5-3 ซม.ปลาบแหลมและมีหยักแหลมตื้นแผ่นในด้านบนลายสีเขียวอ่อนประสีเขียวแก่ด้านล่างสีเขียวอมเทา ก้านช่อสูง 18-30 ซม.สีม่วงมีขนดอกในช่อ กลีบเลี่ยงบนรูปรี สีเขียวอ่อนและมีเส้นสีเขียวเรียนขนานกับปลายกลีบแหลม กลีบดอกยาว กว่าทุกกลีบปลายกลีบแหลม กลีบดอกสีเขียว และมีจุดสีม่วงเป็นจำนวลมาก กลับปากเป็นถุงลึกสีม่วงแดง ขอบกลีบเรียบไม่ม้วนเข้าด้านใน ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2507 ถิ่นกำเนิดอยู่แถบจังหวัดเลยบนยอดภูหลวง กล้วยไม้พันธุ์นี้มีลักษณะเด่น คือ มีลักษณะคล้ายคลึงกับรองเท้านารีคางกบ แต่มีรายละเอียดส่วนต่างๆ ที่แตกต่างกัน ได้แก่ พื้นกลีบสีเขียวมีจุดสีม่วงประปรายทั่วกลีบ ปลายกลีบดอกแหลม พื้นกลีบมีสีทางสีเขียวถี่ๆ ลายทางจากโคนดอกวิ่งไปรวมที่ปลายกลีบ กลีบในกางเหยียด ขอบกลีบมีขนเช่นเดียวกับบริเวณโคนดอกช่วงออกดอก : ประมาณเดือนสิงหาคม - ธันวาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบที่สู.จากระดับน้ำทะเลปลานกลาง 1,000 เมตรไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขตการกระจายพันธุ์ : พบเฉพาะในประเทศไทยสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย :
     รองเท้านารีเหลืองกระบี่
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum exul (Ridl.) Rolfeลักษณะทั่วไป : กล้วยไม้ดิน ลำต้นสั้นและแตกกอ ใบค่อนข้างหนารูปขอบขนาน ขนาด 10-20x1.5-1.8 ซม.ปลายหยักแหลมตื้นใบสีเขียวเรียวทั้งสองด้านและกางออก เป็นแนวรัศมี ดอกเดี่ยว ก้านช่อดอกยาวประมาณ 20 ซม. สีเขียว หรือสีเขียวอมม่วงเข้มหลายแต้ม กลีบดอกสีน้ำตาลเหลือง โคนกลีบอาจมีจุด ขอบกลีบหยักเป็นคลื่น กลีบกระเป๋าสีน้ำตาลเหลืองขอบด้านบนไม่ม้วนเข้าหากันค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2435 ถิ่นกำเนิดอยู่แถบเกาะพงันจังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะพังงา และจังหวัดชุมพร ลักษณะเด่นของกล้วยไม้พันธุ์นี้ คือ มีใบสีเขียวไม่มีลาย ใบแคบและหนา ผิวเป็นมัน เส้นกลางใบเป็นรอยลึกรูปตัววี ก้านดอกแข็ง ดอกใหญ่ กลีบดอกนอกบนเป็นรูปใบโพธิ์กว้าง สอบตรงปลาย กลีบดอกสีขางไล่จากโคนกลีบ แนวกลางของกลีบเป็นสีเหลืองอมเขียวประด้วยจุดสีม่วง กลีบในสีเหลืองแคบและยาวกว่ากลีบนอก กระเปาะสีเหลืองเป็นมันช่วงออกดอก : ประมาณเดือนเมษายน – พฤษภาพาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : ขึ้นตามซอกหินหรือหน้าผาใกล้ทะเลเขตการกระจายพันธุ์ : พบเฉพาะในภาคใต้ที่ชุมพรและกระบี่สถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered


    ชื่อไทย : 
    รองเท้านารีคางกบ เอื้องคางกบ รองเท้านารีแมงภู่ เอื้องคางคก
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum callosum (Rchb.f.)Strinลักษณะทั่วไป : กล้วยไม้ดิน ลำต้นสั้นและแตกกอ ใบรูปขอบขนาน ค่อนข้างบางขนาด 10-15*2-2.5 ซม.ปลายแหลมและหนักเป็นสามแฉกตื้น ผิวใบด้านบนลายเขียวสลับขาวเป็นแถบและหย่อมๆหลังใบด้านหลังเขียวลายไม่ชัด แผ่นใบกลางออกเป็นแนวรัศมี ออกดอกเดี่ยวที่ปลายยอด ก้านดอกตั้งตรงสีม่วงเข็ม ก้านช่อยาว 15-20 ซม. มีขน กลีบเลี้ยงบนแผ่กว้างสีขาวและมีสีเขียวแกมม่วงแดงตามยาว กลีบดอกรูปขอบขนาดโค้ง ขอบกลีบมีตุ่มสีน้ำตาล เข้มเป็นมันและมีขน กลีบกระเป๋าสีม่วงแดงแกมน้ำตาล ดอกบาน เต็มที่กว้าง 6-8 ซม.ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2428 ถิ่นกำเนิดอยู่ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และบริเวณอ่าวไทยตามเกาะต่างๆ ลักษณะเด่น คือ คล้ายรองเท้านารีฝาหอย แต่แตกต่างตรงที่ปลายกลีบนอกบนของรองเท้านารีคางกบเรียวยาวแหลมกว่า ริมกลีบในเป็นคลื่นหรือพับม้วน กระเปาะมีเม็ดสีดำติดอยู่ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายนแหล่งที่พบในประเทศไทย : ตามพื้นดินตามป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลาง 500- 1,300 เมตรเขตการกระจายพันธุ์ : มาเลเซียสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : 
    รองเท้านารีฝาหอย, เอื้องผึ่ง
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum bellatulum (Rchb.f.) Strinลักษณะทั่วไป :  ใบค่อนข้างหนา รูปขอบขนานมีลายคล้ายหินอ่อนขนาด 6-15*2.5 ซม.ปลายหยักมนด้านบนสีเขียวแต้มประขาวหรือเขียวอ่อน ด้านล่างสีม่วงประนวลแผ่ใบกางออกไปทางแนวระนาบ ดอกเดียว ก้านช่อดอกสั้น ขนาด4-5 ซม.ขนาดดอกประมาณ 6 ซม.กลีบดอกยาวกว้างและกว้างกว่ากลีบเลี่ยง บนกลีบซ้อนทับกัน กลีบปากเป็นถุงขอบกลีบด้านบนม้วนเข้าด้านในทั้งกลีบเลี่ยง กลีบดอกและกลีบปากสีขาวครีมจนถึงถึงสีครีม แต่ละกลีบมีขนกำมะหยี่ปกคลุมทั้งสองด้านและมีจุดสีม่วงเข็มกระจายทั่วกลีบ ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2431 ถิ่นกำเนิดอยู่ตามหุบเขาในเขตพม่าต่อชายแดนไทยตอนเหนือแถบจังหวัดลำพูน และเขตอำเภอเชียงดาว ภาคใต้ เช่น หมู่เกาะอ่างทอง และเกาะช้างในจังหวัดพังงา เป็นต้น ลักษณะเด่นของกล้วยไม้พันธุ์นี้ คือ ใบใหญ่ปลายมน ใบลายสีเขียวแก่และเขียวอ่อนใต้ท้องใบสีม่วงแดง ก้านดอกสั้นมีขน กลีบดอกนอกกว้างมนกลมปลายกลีบคุ้มลงด้านหน้า กลีบในทั้งสองกว้างมนรูปไข่ คุ้มออกด้านหน้า กลีบนอกและกลีบในเกยกันทำให้แลดูลักษณะดอกกลมแน่น กลีบดอกสีขาวนวล ประจุดสีม่วงจากโคนกลีบ กระเปาะมนกลมคล้ายฟองไข่นก Plover (ซึ่งเป็นที่มาของรองเท้านารีฝาหอยที่เรียกว่า “Plover Orchid”)ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนเมษายน - สิงหาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : ขึ้นตามซอกหินหรือโคนต้นไม้ในป่าดิบชื้นทางภาคเหนือเขตการกระจายพันธุ์ : พม่า จีน ลาวสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : 
    รองเท้านารีขาวสตูล, รองเท้านารีหนวดฤๅษี
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum niveum  (Rchb.f.) Strinลักษณะทั่วไป :  กล้วยไม้ดิน ลำต้นสั้นและแตกกอ ใบรูปขอบขนานกว้าง 2-2.5 ซม.ยาว 8-10 ซม.ผิวด้านบนใบเขียวแก่สลับเขียวอมขาว หลังใบสีเขียวหรือมีประสีม่วงประปราย ปลายหยักมนไม่เท่ากัน แผ่นใบกางออกในแนวเกือบระนาบ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด จำนวน 1-3 ดอก ก้านช่อตั้งตรง ยาว 5-7 ซม.สีเขียวหรือสีเหลืองอมม่วงมีขนสั้นนุ่ม ขนาดดอก 4-6 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือเข้ม มีประสีเลือดหมูกระจายทั่วทั้งดอก ผิวมีขนละเอียดนุ่ม ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2411 ถิ่นกำเนิดอยู่ตามเกาะแถบภาคใต้ ลักษณะเด่น คือ ใบมีลายสีเขียวคล้ำ ปลายมนพอสมควร ใต้ท้องใบสีม่วงแก่ ก้านดอกแข็งยาวเรียวมีทั้งสีม่วงและเขียวมีขน ดอกค่อนข้างเล็กปลายกลีบบานคุ้มมาข้างหน้า ดอกสีขาวเป็นมัน กลีบในประจุดสีม่วง กระเปาะรูปกลมเหมือนไข่สีเดียวกับกลีบคือ ขาวช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมิถุนายน - กันยายนแหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบชื้นทางภาคตะวันตกเขตการกระจายพันธุ์ : จีนตอนใต้ พม่าสถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    ชื่อไทย : รองเท้านารีเหลืองเลย, รองเทานารีคอขาว
    ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum esquiroleiลักษณะทั่วไป :  ค้นพบเมื่อปี พ.ศ.2455 ถิ่นกำเนิดอยู่แถบภูเขาในภาคอีสาน เช่น เลย เพชรบูรณ์ เป็นต้น ลักษณะเด่นของกล้วยไม้ คือ มีใบลาย ท้องใบสีม่วง ใบยาว กลีบดอกด้านบนสีแดงเข้มออกน้ำตาล ขอบกลีบสีเหลืองอมเขียว ปลายกลีบบีบเข้า กลีบในเป็นสีขมพูแดง กระเปาะสีคล้ายกลีบดอกช่วงออกดอก : ประมาณเดือนธันวาคม – มีนาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย : ขึ้นตามซอกหินหรือซอกหินในที่ร่มทางภาคเหนือเขตการกระจายพันธุ์ : อินเดียทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พม่า จีนตอนใต้สถานภาพ :
    -          พืชอนุรักษ์บัญชีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พุทธศักราช 2518
    -          ของป่าหวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
    -          Endangered

    กล้วยไม้สกุลแวนด้า Vanda

    กล้วยไม้สกุลแวนด้า Vanda

                แวนด้าเป็นกล้วยไม้ประเภทโมโนโพเดี้ยล ไม่แตกกอ เจริญเติบโตไปทางยอด รากเป็นรากอากาศ ใบมีลักษณะกลม แบนหรือร่อง ใบซ้อนสลับกัน ช่อดอกจะออกด้านข้างของลำต้นสลับกับใบ ช่อดอกยาวและแข็ง กลีบนอกและกลีบในมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน โคนกลีบแคบ และไปรวมกันที่โคนเส้าเกสร กลีบดอกในล่างด้านใต้มีเดือยแหลมยื่นออกมาเป็นส่วนท้ายของปากกระเป๋า ปากกระเป๋าของแวนด้าเป็นแบบธรรมดาแบนเป็นแผ่นหนาแข็ง และพุ่งออกด้านหน้า รูปลักษณะคล้ายช้อน หูกระเป๋าทั้งสองข้างแข็งและตั้งขึ้น สีดอกมีมากมายแตกต่างกันตามแต่ละชนิด
                กล้วยไม้สกุลแวนด้าพบในป่าตามธรรมชาติประมาณ 40 ชนิด มีกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดนีเซีย จนถึงฟิลิปปินส์ แวนด้าได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นอีกหลายพันธุ์ ปัจจุบันได้มีการจำแนกประเภทของแวนด้า โดยอาศัยรูปร่างลักษณะของใบออกเป็น ประเภท คือ 
                1.แวนด้าใบกลม มีลักษณะของใบกลมยาวทรงกระบอก ต้นสูง ข้อห่าง สังเกตได้ที่ใบติดอยู่ห่างๆ กัน มีดอกช่อละหลายดอก แต่ดอกจะบานติดต้นอยู่คราวละ 2–3 ดอกเท่านั้น เมื่อดอกข้างบนบานเพิ่มขึ้น ดอกข้างล่างจะโรยไล่กันขึ้นไปเรื่อยๆ การปลูกใช้ดอกจึงนิยมปลิดดอกมากกว่าตัดดอกทั้งช่อ             2.แวนด้าใบแบน ลักษณะใบแผ่แบนออก ถ้าตัดมาดูหน้าตัดจะเป็นรูปตัววี มีข้อถี่ปล้องสั้น ใบซ้อนชิดกัน ปลายใบโค้งลงและจักเป็นแฉก

                                           
                3.แวนด้าใบร่อง มีรูปทรงของใบและลำต้นคล้ายใบแบนมากกว่าใบกลม แวนด้าประเภทนี้ไม่พบในป่าธรรมชาติ การนำมาปลูกเลี้ยงเป็นพันธุ์ลูกผสมทั้งสิ้น โดยนำแวนด้าใบกลมมาผสมกับแวนด้าใบแบน
                4.แวนด้าก้างปลา มีรูปทรงของใบและลำต้น กิ่งใบกลมกับใบแบน พบตามป่าธรรมชาติน้อยมาก เพราะกล้วยไม้พันธุ์นี้เป็นหมันทั้งสิ้น
                ในบรรดาแวนด้าทั้ง ประเภทนี้ แวนด้าใบกลมเป็นแวนด้าที่เลี้ยงง่ายที่สุด สามารถปลูกลงแปลงกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องมีโรงเรือน แต่ดอกมักจะบานไม่ทน ส่วนที่เลี้ยงยากที่สุดคือ แวนด้าใบแบน มีหลายพันธุ์ ทั้งดอกใหญ่และดอกเล็ก แต่ที่ได้รับความนิยมได้แก่ ฟ้ามุ่ย เพราะดอกใหญ่ สีสวย การเลี้ยงแวนด้าใบแบนจำเป็นต้องมีโรงเรือนเพราะต้องการแสงที่พอเหมาะ สำหรับแวนด้าใบร่องเป็นลูกผสมระหว่างใบกลมและใบแบน ถูกผสมขึ้นเพื่อให้ปลูกเลี้ยงง่ายขึ้น แต่ดอกมักจะสีไม่สวยและปากหักง่าย      
     
    ชื่อไทย 
    เอื้องสามปอยแพะ สามปอยชมพู เอื้องนกน้อย
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Vanda bensonii Batemanลักษณะทั่วไป :    เป็นกล้วยไม้แวนด้าใบแบน มีลักษณะใบซ้อนเรียงสลับกัน ช่อดอกตั้งและยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ช่อหนึ่งมี13–15 ดอก ดอกสีน้ำตาล มีลายสมุกคล้ายฟ้ามุ่ย กลีบดอกหนาขอบกลีบเป็นคลื่น ด้านหลังกลีบและกระเป๋าเป็นสีชมพู ดอกห่าง รูปดอกโปร่ง ขนาด 4.4 เซนติเมตรช่วงออกดอก เมษายน - พฤษภาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย ตามป่าดิบเขาทางภาคเหนือการกระจายพันธุ์ : เมียนมาร์และไทยสถานภาพ ไม่มีข้อมูล

     ชื่อไทย กล้วยไม้หางปลา เข็มขาวชื่อวิทยาศาสตร์ Vanda lilacina Teijsm.& Binnลักษณะทั่วไป  เป็นกล้วยไม้แวนด้าใบแบน มีถิ่นกำเนิดทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคกลางตอนบน ใบรูปแถบเรียงสลับ ปลายใบหยักเป็นฟัน ออกดอกที่ข้างลำต้น มีหลายช่อ ยาว 12-15 ซม. ช่อดอกค่อนข้างโปร่ง ดอกขนาด 1.5-ซม. กลีบดอกสีขาวรูปแถบแกมรูปไข่กลับ กลีบปากมีลักษณะเป็นถุงขนาดเล็ก ปลายแผ่เป็นแผ่นสั้นผายออก มีจุดขนาดเล็กสีม่วงหนาแน่น ปลายเส้าเกสรสีเหลือง ช่วงออกดอก มกราคม- มีนาคมแหล่งที่พบในประเทศไทย :  ไม่มีข้อมูลการกระจายพันธุ์ เมียนม่าร์สถานภาพ ไม่มีข้อมูล


    ชื่อไทย 
    แวนด้าไตรคัลเลอร์
    ชื่อวิทยาศาสตร์ Vanda tricolorลักษณะทั่วไป :  ใบมีลักษณะยาวเป็นคลื่นกว้าง เซนติเมตร ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ช่อดอกโค้งยาวประมาณ 25 เซนติเมตร มีดอกประมาณ 5–10 ดอกต่อช่อ กลีบนอกและกลีบในสีเหลืองอมขาว มีจุดสีน้ำตาลอมแดง ปากเป็นแฉก หูปากเล็กแผ่นปากสีม่วงช่วงออกดอก ไม่มีข้อมูลแหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : เป็นกล้วยไม้แวนด้าพื้นเมืองของชวาสถานภาพ ไม่มีข้อมูล
     
    ชื่อไทย แวนด้าเดียรีอิชื่อวิทยาศาสตร์ Vanda deareiลักษณะทั่วไป :  จัดเป็นแวนด้าประเภทใบแบน มีลักษณะของลำต้นอ้วนใหญ่ ใบกว้างและบิดเล็กน้อย ช่อดอกสั้นมีดอกน้อย กลีบนอกและกลีบในกว้าง แข็งหนา เนื้อละเอียด ดอกสีเหลืองนวลสะอาด หูปากสองข้างเล็กขาว โคนแผ่นปากสีขาว ปลายสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม แวนด้าชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการผสมปรับปรุงพันธุ์ที่ให้ลูกผสมไปทางสีเหลือง โดยใช้ผสมพันธุ์ควบคู่กับแวนด้าแซนเดอเรียน่าช่วงออกดอก :ไม่มีข้อมูลแหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : เป็นกล้ายไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะบอเนียวสถานภาพ ไม่มีข้อมูล

    ชื่อไทย แวนด้าอินซิกนิสชื่อวิทยาศาสตร์ Vanda insignisลักษณะทั่วไป :  จัดเป็นแวนด้าประเภทใบแบน ใบยาวประมาณ 15–20 เซนติเมตร ช่อดอกไม่ยาว มีดอกประมาณ 4–7 ดอก มีกลีบนอกและกลีบในห่างสีเหลืองอมเขียว มีจุดสีช๊อกโกแลต หูปากเล็กสีขาว แผ่นปากกว้างสีม่วงกุหลาบขนาดโตประมาณ เซนติเมตรช่วงออกดอก ไม่มีข้อมูลแหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : เป็นกล้วยไม้พื้นเมืองของเกาะโมลูกัสสถานภาพ ไม่มีข้อมูล

    กล้วยไม้ 7 พระนาม งดงาม เสน่ห์ล้ำ หลากสีสัน

    กล้วยไม้ 7 พระนาม งดงาม เสน่ห์ล้ำ หลากสีสัน

                   1.กล้วยไม้แคทลียา ควีนสิริกิติ์ กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นกล้วยไม้ที่สวยงามมาก มีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี
                   แคทลียา ควีนสิริกิติ์” (Cattleya Queen Sirikhit) บุปผาราชินีเมื่อบริษัท Black & Flory Ltd. แห่งประเทศอังกฤษ ได้คิดค้นกล้วยไม้ลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์ แคทลียา โบเบลล์ (Cattleya Bow Bells) และต้นพ่อพันธุ์แคทลียา ออเบรียนเนียนา (Cattleya Obrieniana var. aba) ในปี พ.ศ. 2501 และได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ ( The Royal Horticulture Society) จึงได้มีการกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานพระราชานุญาตเชิญพระนามาภิไธย สิริกิติ์” เป็นชื่อของกล้วยไม้ลูกผสมพันธุ์นี้ว่า แคทลียา ควีนสิริกิติ์” และไ้ด้ขึ้น

                              
    ทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษเมื่อวันที่ 
    ก.พ. 2501เมื่อวันที่ สิงหาคม 2551 ซึ่งถือเป็นวันสตรีไทย ทางสภาสตรีแห่งชาติฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชทานดอกกล้วยไม้พระนาม แทคลียา ควีนสิริกิติ์ เพื่อใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันสตรีไทยลักษณะทั่วไปเป็นต้นกล้วยไม้สูง 20-40 ซม. ลำลูกกล้วยรูปทรงกระบอก ใบรูปขอบขนาน ดอกออกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 1-4 ดอก สีขาวนวล กลีบรองดอกรูปรีแกมสามเหลี่ยม กลีบดอก กลีบ มีกลีบปากแผ่กว้าง ขอบกลีบย่นเป็นคลื่น ตรงกลางกลีบมีแต้มสีเหลืองทองด้านใน เมื่อบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12-14 ซม. มีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ฝักรูปทรงสามเหลี่ยม ออกดอกตลอดปี


                   2.กล้วยไม้รองเท้านารี "พริ้นเซสสังวาลย์" กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รองเท้านารีพันธุ์ลูกผสม ดอกลายสีบานเย็นเข้มทั้งดอก กล้วยไม้รองเท้านารี พริ้นเซสสังวาลย์
      (Paphiopedilum Princess Sangwan)รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์รองเท้านารีช่องอ่างทอง (Paphiopedilum godefroyae var. angthong) และต้นพ่อพันธุ์คือ รองเท้านารีดอยตุง (Paphiopedilum charlesworthii)โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงโครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ 1ธันวาคม 2545 ดอกมีสีขาวลายบานเย็นหรือบานเย็นเข้มทั้งดอก ส่วนใหญ่จะมี ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ ซม. ก้านช่อดอกสูงประมาณ 10 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ ครั้งขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม2547กล้วยไม้รองเท้านารี สังวาลย์ซีรีเบรชั่น ปีที่ 108  ( Paphiopedilum  Sangwan Celebration 108 th)เป็นกล้วยไม้พระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฉลองวาระ
    พระราชสมภพครบ 
    รอบปีนักษัตร  รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ รองเท้านารีโฮลดีนิอาย  ( Paphiopedilum Holdenii )และต้นแม่พันธุ์ คือรองเท้านารีดอยตุง ต้นสังวาลย์ 1  ( Paphiopedilum charlesworthii “Sangwan NO.1″ AM/RHT ) โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงโครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ สิงหาคม 2551 ดอกมีสีบานเย็นแดง กระเป๋าและกลีบข้างสัน้ำตาลแดง ส่วนใหญ่จะมี ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ 10 ซม.

                              
    ก้านช่อดอกสูงประมาณ 
    20-30 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ ครั้งขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551กล้วยไม้รองเท้านารี สังวาลย์แอนนิเวอร์ซารี่ ปีที่ 108  ( Paphiopedilum  Sangwan Anniversary 108 th)เป็นกล้วยไม้พระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฉลองวาระพระราชสมภพครบ รอบปีนักษัตร รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์  รองเท้านารีโรซิต้า ( Paphiopedilum Rosita )และต้นแม่พันธุ์ คือรองเท้านารีดอยตุง ต้นสังวาลย์ 1 ( Paphiopedilum charlesworthii “Sangwan NO.1″ AM/RHT ) โดยมูลนิะแม่ฟ้าหลวงโครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ 15 สิงหาคม 25551 ดอกมีสีชมพูถึงบานเย็นแดงทั้งดอก ส่วนใหญ่จะมี ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ 10 ซม. ก้านช่อดอกสูงประมาณ 20-30 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ ครั้งขึ้นทะเบียนเป็นลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29สิงหาคม 2551
     

                  3.กล้วยไม้หวายพันธุ์ "ชมพูนครินทร์" สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทานนามให้ ดอกมีสีโอรส (สีขาว อมชมพู อมส้ม) ปากดอกสีชมพูแดง สวยงามและคงทน
      กล้วยไม้หวาย พันธุ์ ชมพูนครินทร์”  ( Dendrobium “Pink Nagarindra” )
    กล้วยไม้ลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ บลัชชิ่ง”  (Dendrobium Blushing) และต้นเม่พันธุ์ เอริก้า”  (Dendrobium “Arica”) โดยนายสวง คุ้มวิเชียร (แอร์ออร์คิดแล็บ) เป็นผู้พัฒนาพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเดือนกุมภาพันธุ์ 2546   และได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรม
                             
    หลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 
    พฤษภาคม 2550 ชื่อพันธุ์ “ชมพูนครินทร์ดอกมีสีโอโรส (สีขาว อมชมพู อมส้ม) ปากดอกเป็นสีชมพูแดง ปลายกลียดอกทั้ง เป็นสีเดียวกัน ลักษณะดอกกึ่งฟอร์มกลม มีความสวยและความทน และด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมาก จึงมีความเด่นที่จะเป็นกล้วยไม้ประดับชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก มีอายุการใช้งานหลายสัปดาห์ ดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้มีเกล็ดเงินระยิบระยับอ่อนๆแฝงอยู่ในกลีบดอกเมื่อถูกสะท้อนแสงไฟ ในช่วงอากาศหนาว ดอกจะเปลี่ยนสีเป็นสีโอโรสเข้มจัดทั้งดอก ต้นกล้วยไม้พันธุ์นี้มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 30-40 ซม. ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า ครั้งต่อปี


                   4.กล้วยไม้แอสโคเซนต้า "สุคนธรัศมิ์" พระราชทานนามโดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กล้วยไม้แอสโคเซ็นดา สุคนธรัศมิ์
      (Ascocenda Sukontharat)แอสโคเซ็นดา ลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์คือ แวนด้าสามปอยขุนตาล ( Vanda denisoniana) และต้นพ่อพันธุ์คือ แอสโคเซ็นดา คุณนก (Ascocenda Khon Nok) โดยนายปริยุตต์ ยุวานนท์ (บริษัท สากล ออร์คิด) ผู้พัฒนาพันธุ์และเพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ดอกมีขนาดประมาณ 1.5 นิ้ว กลีบดอกส่วนปลายมีสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมนุ่มนวล ซึ่งจะมีกลิ่นหอมมากในเวลาเช้าและหอม
                              
    ตลอดทั้งวัน
      ออกดอกตลอดทั้งปีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้พระราชทานชื่อพันธุ์กล้วยไม้ ซึ่งบริษัท สากล ออร์คิด ได้ทูลเกล้าถวายเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 พระราชทานชื่อว่า สุคนธรัศมิ์” แปลว่ามีกลิ่นหอมอบอวลจรุงใจ ตามพระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 ขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
     

                   5.กล้วยไม้พันธุ์ "เอื้องศรีเชียงดาว" เป็นกล้วยไม้ดิน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามให้ สามารถพบได้เฉพาะที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ 
    สิรินโดรเนีย” (Sirindhornia) เป็นกล้วยไม้สกุลใหม่ของโลก กล้วยไม้สกุลนี้ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2002 โดย นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ดร.เฮนริค เพเดอร์เซน จากมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน    ประเทศเดนมาร์ก    ร่วมกับนักพฤกษศาสตร์ไทย   ดร.ปิยเกษตร สุขสถาน   จากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  จัดเป็นกล้วยไม้ดินกล้วยไม้ที่ค้นพบนี้ได้รับพระราชทานชื่อจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ร่วมกับองค์การสวนพฤกษศาสตร์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ค้นพบกล้วยไม้สกุลใหม่ของโลกสายพันธุ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญกล้วยไม้ของโลกโดยเทียบตัวอย่างกับกล้วยไม้ทั่วโลกกว่า 250,000 สายพันธุ์จากหอพรรณไม้โลก เป็นเวลากว่า ปี จึงพบว่าเป็นสกุลใหม่และสายพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง มีความแตกต่างกับกล้วยไม้ชนิดอื่นๆ มากและทั้งหมดเป็นกล้วยไม้ที่หายากในวโรกาสศุภมงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ครบรอบ 48 พรรษา จึงได้มีพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sirindhornia ดังนี้
                      
                    เอื้องศรีเชียงดาว ( Sirindhornia pulchella H.A. Pedersen & S. Indhamusika )
    กล้วยไม้ดิน สูง 10-25 ซม. ใบ แผ่รูปไข่กว้าง มีเส้นใบขนาน ตามยาวประมาณ 8-10 เส้น และมีจุดประสีแดงอมม่วงทั่วไป ช่อดอกสูง 10-30 ซม. มีประมาณ 4-12 ดอก ดอก สีชมพูมีประ สีชมพูเข้ม กลีบข้างเป็นสีชมพูแกมขาว แผ่คล้ายหูค่อนข้างกลม สีเขียวแกมชมพู กลีบปากมีจุดประสีแดงหรือสีออกแดงแกมชมพู ส่วนปลายแผ่เป็น พูตื้นๆ ขนาดประมาณ 10-11 มม. เส้าเกสร เป็นก้อนใหญ่ งวงน้ำหวานเป็นหลอดยาวโค้ง ขนาดยาวประมาณ11-14 มม. เป็นพืชชนิดใหม่ พบเฉพาะที่ดอยเชียงดาว ในประเทศไทย ที่ระดับความสูง 1,800-2,000 เมตร ดอกบานช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน
                      
                   เอื้องศรีประจิม ( 
    Sirindhornia mirabilis H.A. Pedersen & P. Suksathan )
    กล้วยไม้ดิน สูง 10-34 ซม. ใบ แผ่รูปไข่กว้าง มีเส้นใบ ขนานตามยาวประมาณ 8-12 เส้น และมีจุดประสีแดงอมม่วงทั้งใบ ช่อดอกสูงได้ถึง 40 ซม มีประมาณ 16-36 ดอก ดอก สีชมพู กลีบข้างแผ่สีอมเขียว ขนาด 1.5 ซม. กลีบปากมีสีชมพูแกมชมพูอ่อน ส่วนโคนแผ่ขยายออกเป็นปีก ข้าง ส่วนกลางคอดกิ่ว ส่วนปลายแผ่ หยักเว้าเป็น พู งวงน้ำหวานส่วนโคนเป็นหลอดตรงส่วนปลายงอโค้ง ขนาด 8-มม. เป็นพืชชนิดใหม่ พบเฉพาะที่ดอยหัวหมุด จังหวัดตาก ในประเทศไทย ที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตร ดอกบาน ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
                      
                   เอื้องศรีอาคะเนย์
      ( Sirindhornia monophylla (Collett & Hemsl.) H.A. Pedersen & P. Suksathan )
    กล้วยไม้ดิน สูง 12-40ซม. ใบ แผ่ รูปรีแกมขอบขนาน มีเส้นใบขนานตามยาว 12-20 เส้น และมีจุดประขนาดค่อนข้างใหญ่ สีแดงอมม่วงทั้งใบ ช่อดอกสูง 10-25 ซม มี 6-40 ดอกดอก สีขาวแกมชมพู มีจุดประสีชมพูเข้ม กลีบข้างแผ่คล้ายหูหรือลักษณะค่อนข้างกลม สีชมพูแกมเขียว กลีบปากมีจุดประสีแดงแกมชมพู ส่วนปลายแผ่เป็น พู งวงน้ำหวานเป็นหลอดตรงหรือโค้งเล็กน้อย ขนาดสั้นกว่า มม. เป็นพืชพบใหม่ มีการกระจายเป็นวงกว้าง ตามบริเวณ เขาหินปูน ที่ดอยหัวหมุด จังหวัดตาก ทางตอนเหนือของประเทศไทย รัฐชานสเตทตอนเหนือของประเทศเมียนม่าห์ และแคว้นยูนนาน ทางจีนตอนใต้ ที่ระดับความสูง 800-2,200 เมตร ดอกบาน ช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน 

                   6.กล้วยไม้ฟาแลนนอพซีส "พริ้นเซสจุฬาภรณ์" กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ที่รัฐบาลศรีลังกา ทูลเกล้าฯ ถวายนาม
       กล้วยไม้ฟาแลนนอฟซิส พริ้นเซสจุฬาภรณ์  (Phalaenopsis Princess Chulabhorn) กล้วยไม้ฟาแลนนอพซิส พันธุ์พระนามนี้ เป็นผลงานการผสมพันธุ์ของสวนพฤกษศาสตร์เปราเดนนิยา (Royal Botanical Garden Peradeniya )ประเทศศรีลังกา เป็นลูกผสมของPhalaenopsis Rose Miva กับ Phalaenopsis Kandy Queen  ซึ่งทั้งสองชนิดล้วนเป็นสายพันธุ์ที่มีความงามอย่างโดดเด่น  รัฐบาลศรีลังกา
                             
    ได้น้อมเกล้าฯ ถวายกล้วยไม้พันธุ์พระนามนี้ที่สวนพฤกษศาสตร์เปราเดนนิยา เมืองแคนดี ในเดือนสิงหาคม
     2542 กล้วยไม้ฟาแลนนอฟซิส พริ้นเซสจุฬาภรณ์ เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นสูง 8-20 ซม. ใบสีเขียวเข้ม รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 5-ซม. ยาว 10-16 ซม.ดอกสีขาวนาล ออกเป็นช่อตามซอกใบ ก้านช่อยาว 30-45 ซม. ลักษณะกว้างกลมมน มีขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 7.5-ซม. ตอนกลางดอกเป็นสีชมพูอ่อน กลีบปากส่วนโคนสองข้างแผ่ออกเป็นปีก ตอนปลายยาวเรียวเป็นเส้น ขอบมีสีเหลืองตอนกลางเป็นจุดประสีเลือดหมูแต้มทั่วไป

     
                   7.กล้วยไม้หวายพันธุ์ "โสมสวลี" พระนามพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ดอกมีสีม่วงครามอ่อน ออกดอกเป็นพวง และด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมาก จึงโดดเด่นเหมาะสำหรับเป็นกล้วยไม้ประดับ ชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก กล้วยไม้หวาย พันธุ์ โสมสวลี”  ( Dendrobium “Soamsawali” )กล้ยไม้ลูกผสม ระหว่างต้นพ่อพันธุ์ คอมแพ็คตั้ม โบตาบลู” (Dendrobium compactum BotaBlue) และต้นแม่พันธุ์ ขาวธนิดาไวท์” (Dendrobium “Thanida White”) โดยนายสวง คุ้มวิเชียร (แอร์ออร์คิดส์ &แล็บ) เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเดือนมกราคม 2546  และได้รับ
                             
    ประทานนามจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันที่ 
    15 พฤษภาคม 2550ดอกมีสีม่วงครามอ่อน ดอกออกเป็นพวง ด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมากจึงมีความเด่นที่จะเป็นกล้วยไม้ประดับชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก มีอายุการใช้งานหลายสัปดาห์ ดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้มีลายเส้นสีขาวอ่อนๆ แฝงอยู่ในกลีบดอกและมีคอดอกสีขาว เมื่อดอกเริ่มบานจะมีสีเข้ม หลังจากดอกบานเต็มที่ทั้งช่อ สีม่วงของดอกจะสว่างขึ้น ต้นกลัวยไม้พันธุ์นี้มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 40-50 ซม.ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า ครั้งต่อปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น